เกษตร

เพชรบูรณ์-มะขามหวานสุกช้า ผลผลิตน้อย ราคาสูง วันที่ 5 ม.ค.68 นายวรรณลภย์ ทองบุดดี เกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมมะขามหวานเพชรบูรณ์ ปี 2568 ว่า ภาพรวมในปีนี้มะขามหวานเพชรบูรณ์ค่อนข้างสุกช้า ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาด นอกจากจะค่อนข้างช้าแล้ว ยังมีจำนวนน้อยอีกด้วย แต่ข้อดีคือทำให้ราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด นายสุเทพ เพียมะลัง ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า จากการประเมินมะขามหวานสายพันธุ์ต่างๆ ที่เกษตรกรส่งประกวดมะขามหวานในปี 2568 เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามะขามหวานพันธุ์ขันตี มีความโดดเด่นเข้าตามาก ฝักมีความสมบูรณ์และเนื้อค่อนข้างสวยมาก \”ส่วนมะขามหวานพันธุ์สีทองในปีนี้ สังเกตุฝักจะผอม สาเหตุอาจเนื่องมาจากสภาพฝนที่ลากยาว ทำให้สุกช้ากว่าปกติ จึงทำให้ลักษณะพันธุ์สีทองในปีนี้ฝักไม่ค่อยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันมะขามหวานพันธุ์เพชรบัวทอง เมื่อปีที่ผ่านมารวมถึงในปีนี้ ลักษณะทั้งเนื้อและฝักยังมีความโดดเด่นค่อนข้างมาก\”นายเทพกล่าว  

เพชรบูรณ์-เผย \”เพชรบัวทอง\” ปี 2568 ติดฝักน้อย-ราคาสูง เจ้าของสวนเผยไม่พอขาย วันที่ 5 ม.ค.68 นายมณเฑียร พิกุลคำ เจ้าของ \”ไร่มณเฑียร\” ต.ตะเบาะ อ.เมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเจ้าของมะขามหวานพันธุ์เพชรบัวทอง ที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานฯ สุดยอดมะขามหวานเพชรบูรณ์เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา กล่าวว่า ในปี 2568 นี้มะขามหวานพันธุ์เพชรบัวทอง โดยที่สวนปลูกราว3 ไร่จำนวน 47 ต้น ให้ผลผลิตค่อนข้างน้อยมากราว 500-700 กิโลกรัม จากเดิมเมื่อปีที่ผ่านมาได้ผลผลิตราวเกือบ 2,700 กิโลกรัม \”สาเหตุเพราะหลังจากให้ผลผลิตเยอะแล้ว กิ่งจะโทรมแม้จะพยายามใส่ปุ๋ยบำรุงเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็คาดว่าในปีหน้าจะกลับมาให้ผลผลิตสูงเหมือนเดิม โดยจะดกแบบปีเว้นปี ไม่เหมือนพันธ์อื่นๆ\”นายมณเฑียรกล่าว  เจ้าของสวนมะขามฯรางวัลถ้วยพระราชทาน ปี 2567 กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสำหรับในด้านราคาก็สูงตามไปด้วย นอกจากนี้ผลผลิตหมดสวนไม่พอจำหน่าย ทั้งที่มีออเดอร์เข้ามามาก สำหรับราคามะขามพันธุ์เพชรบัวทองในปีนี้ จำหน่ายกิโลกรัมละ 150 บาท จากเดิมเมื่อปีแล้วจำหน่ายกิโลกรัมละ 100 บาท นายมณเฑียรกล่าวอีกว่า ในปี

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่จังหวัดนครพนม พื้นที่เกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขงในเขตอำเภอเมือง กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก เนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่หันมาปลูกกะหล่ำห่อในช่วงฤดูหนาว ซึ่งปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลผลิตงอกงาม โตเร็ว และให้ผลผลิตสูงถึงไร่ละ 3-4 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรไร่ละกว่าแสนบาท กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญของชุมชน นอกจากนี้ สวนกะหล่ำห่อยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนทางธรรมชาติ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเพื่อชมความสวยงามของสวนผักฤดูหนาว และซื้อผลผลิตไปปรุงอาหารสดๆ จากสวน โดยเฉพาะในปีนี้ อบต.ดงขวาง ร่วมกับชุมชน ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดพื้นที่ถ่ายรูป เชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมและสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติริมโขง พร้อมซื้อผลผลิตสดๆ จากสวน สร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน นายฉลอง ธนาสิน เกษตรกรวัย 70 ปี จาก ต.บ้านกลาง อ.เมือง นครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูหนาวทุกปี เกษตรกรริมโขงจะหันมาปลูกพืชผักสวนครัว โดยเฉพาะกะหล่ำห่อ ซึ่งปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง ทำให้พืชผักโตเร็ว ใช้เวลาเพียง 45 วันก็สามารถเก็บผลผลิตได้ ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 3-4 ตัน และมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงสวนในราคากิโลกรัมละ 5-7 บาท สร้างรายได้ให้เกษตรกรไร่ละ

นครพนม – วันที่ 3 ก.พ. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนางธนวัน อุ่นเพชรวรากร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม ได้ใช้พื้นที่ว่างภายในจวนผู้ว่าราชการจังหวัด จัดทำแปลงผักต้นแบบ ภายใต้โครงการ \”บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง\” เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร กระตุ้นให้ข้าราชการและประชาชนหันมาเพาะปลูกผักปลอดสารพิษไว้รับประทานเอง ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โครงการนี้ยังสอดแทรกแนวคิดการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยมีการทำ ถังขยะเปียกลดโลกร้อน นำเศษอาหารมาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์ใช้บำรุงดิน สอดคล้องกับแนวทางตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ส่งเสริมให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2568 นางธนวัน อุ่นเพชรวรากร ได้นำผักปลอดสารพิษจากแปลงเกษตรต้นแบบมาประกอบอาหารมื้อเย็น ภายใต้แนวคิด \”จากแปลงผักสู่จานอาหาร\” เสิร์ฟเมนูสุขภาพที่ปลอดภัยและอร่อย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปลูกพืชผักเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

เพชรบูรณ์ – มะขามหวานพันธุ์ขันตี คว้าถ้วยพระราชทาน ปี 2568 สุดยอดมะขามหวานเพชรบูรณ์ 3 ก.พ.68 : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ เวทีกลาง งานมะขามหวานนครบาลเพชรบูรณ์ ประจำปี 2568 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา นายศรัณยู มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานพิธีมอบถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้แก่ \”นางธนพร ขำกล่อม\” เกษตรกร ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก เจ้าของมะขามหวานพันธุ์ขันตี ซึ่งคว้า \”รางวัลสุดยอดมะขามหวานเพชรบูรณ์ ประจำปี 2568\”   จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดฯ จัดประกวดมะขามหวานนี่ขึ้น เพื่อส่งเสริมคุณภาพมะขามหวานให้ได้มาตรฐานและกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาการปลูกอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยจัดการประกวดแข่งขันเป็น 5 สายพันธุ์ ได้แก่ ศรีชมภู, ขันตี, สีทอง, ประกายทอง และพันธุ์อื่นๆ ก่อนคัดเลือกหาผู้ชนะสูงสุดจากการลงพื้นที่ประเมินสวน มะขามหวานพันธุ์ขันตี มีถิ่นต้นกำเนิดที่ ต.ท่าพล อ.เมืองเพชรบูรณ์

พะเยา ชาวบ้านเก็บผลมะกอกป่ามาทำอาหารพื้นบ้าน  1 ปีมีครั้ง วันที่ 3 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในพื้นที่ ตำบลแม่ใส พากันออกหามะกอกป่า ซึ่งจะออกในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ธันวาคม – มกราคมและผลจะร่วงใน ปลายเดือนมกราคมจนถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งชาวบ้านจะออกหาตาม ป่าสวน เพื่อมา ขายและประกอบอาหาร มะกอกป่าแต่ละต้นจะให้รสชาติแตกต่างกันบางต้นเปรี้ยวโดด เปรี้ยวติดฝาด ฝาดนำ และเปรี้ยวติดหวาน สำหรับมะกอกป่า สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนูโดยเฉพาะส้มตำ แจ่วมะกอก ตำน้ำพริก ฯลฯ ซึ่งมะกอก 1 ปีจะได้กินเพียง 1 ครั้งเท่านั้นและสามารถตากแห้งแซ่ช่องแข็งเก็บไว้กินได้เป็นปี สำหรับสรรพคุณของมะกอกผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน เป็นยาฝาดสมาน ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟันได้ เพราะมีวิตามินซีสูง เปลือกต้น, ใบ, ผล ช่วยแก้อาเจียน เปลือกต้นช่วยแก้อาการสะอึก เปลือกต้น, เมล็ด เมล็ดนำมาเผาไฟ สุมแก้หอบ เมล็ด ส่วนผล ใบ และเปลือกต้นก็มีสรรพคุณแก้หอบได้เช่นกัน นายณรงค์ ชาวบ้านบ้านแม่ใส เล่าว่า ทุก ๆ

ปราจีนบุรี – เกษตรกร ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ปลูกพุทราพันธุ์ไต้หวัน ไม่พอขาย  เมื่อวันที่ 2 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สวนแม่วิมล นาคบุตร ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ทดลองปลูกพุทราพันธุ์ไต้หวัน ส่งขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัววันละ 2,000 บาท โดยทยอยเก็บส่งลูกค้าเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม เก็บขายทุกวัน ส่งขายให้กับลูกค้าในพื้นที่ และสมุทรปราการ มีลูกค้าตอบรับเกินคาด โดยครั้งแรกทดลองปลูกพุทราพันธุ์ไต้หวันครั้งแรก เมื่อปี 2566 บนพื้นที่ 3 งาน หลังจากไม่พอขายให้กับลูกค้าจึงขยายพื้นที่ในการปลูกอีก 1 งาน พร้อมจะขยายพื้นที่ปลูกอีกเท่าตัว ในการทดลองปลูกพุทราพันธุ์ไต้หวัน จะปลูกยกร่องขึ้นมาเน้นใส่ปุ๋ยคอกเป็นหลัก ระยะแถวห่าง 3×3 เมตร ใช้น้ำระบบวางท่อสปริงเกอร์ รดน้ำวันเว้นวัน เมื่ออายุได้ 8 เดือน พุทราจะออกดอกติดลูก จากนั้นอีก 20 วัน ก็จะทยอยเก็บขายได้แล้ว จะเก็บลูกที่ไม่แก่จัดนักจะได้รสชาติหวานกรอบ พุทราพันธุ์ไต้หวันรสชาติแตกต่างจากพุทรานมสด

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ บ้านหนองทราย ม.6 ต.หนองสาหร่าย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี นายทวิช เที่ยวมาพบสุข นายอำเภอพนมทวน เป็นประธานในงานพร้อมร่วมขับรถไถ เพื่อไถกลบตอซังพืช มีนายวันชัย สินประเสริฐ ผอ.สถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรี กล่าวรายงาน โดยในงานยังมีนายวีระศักดิ์ สุขทอง เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี นายชยุติ โสไกร หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต นายศิวโรฒ จิตนิยม ประธานสถาบันการเงินชุมชน ต.หนองสาหร่าย และธนาคารความดี เกษตรอำเภอ เกษตรตำบล ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน หมอดินอาสา และเกษตรกร เข้าร่วมงานกันอย่างคึกคักซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้ดำเนินการพร้อมกัน 72 จังหวัด ทั่วประเทศ ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการเผา (Hot Spot)โดยมีศูนย์กลางการจัดงาน ที่ จังหวัดเชียงใหม่ และถ่ายทอดอดสดไปยังพื้นที่จัดงาน 71 แห่ง ผ่านระบบ Zoom conference Meeting และ Facebook liveด้านนายวันชัย

สงขลา  –  ชวนเที่ยวงาน “Co-op Market Fair พลังสหกรณ์ ขับเคลื่อนสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น โดย สหกรณ์สทิงพระ จำกัด หนุนจับคู่สร้างตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าพื้นถิ่นระดับจังหวัด วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ นี้ คาดประชาชนเข้าร่วมกว่า 2000 คน   เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา นายชนะ  อมรวัฒน์   สหกรณ์จังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นางมาลิณี  พานิชณ์กร ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวกิจกรรม  จำหน่าย สินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้าสหกรณ์ เครือข่ายสหกรณ์ กลุ่มอาชีพ วิสาหกิจชุมชน ซูปเปอร์มาร์ตเก๊ตสหกรณ์ ภายใต้ชื่อ Co-op Market  Fair พลังสหกรณ์ขับเคลื่อนสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น By สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด   นายชนะ 

ที่บ้านดอนสระ หมู่ที่ 7 ตำบลพนมทวน อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี นางลูกคั่น ด้วงเดช เกษตรกรวัย 65 ปี ผู้มีประสบการณ์ทำนาปลูกข้าวมาหลายปี ได้พลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เสริมที่งดงาม โดยเธอมีพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ทั้งหมดประมาณ 100 ไร่ ซึ่งในอดีต เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวสิ้นสุดลง พื้นที่แปลงนามักจะถูกปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติม แต่ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ นางลูกคั่นได้มองหาวิธีสร้างรายได้ระหว่างช่วงว่างเว้นจากการทำนา เธอเริ่มต้นด้วยการปลูกถั่วลิสง ซึ่งเป็นพืชที่สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 80 วันเท่านั้น อีกทั้งยังได้ผลผลิตที่ดีและมีราคาที่น่าพอใจอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอเลือกใช้วิธีการไถกลบซังข้าวแทนการเผา ซึ่งแตกต่างจากวิธีการดั้งเดิมที่เกษตรกรในพื้นที่นิยมเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวข้าว แต่มาตรการเข้มงวดของจังหวัดกาญจนบุรีที่ห้ามการเผาเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้การไถกลบกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม การไถกลบซังข้าวไม่เพียงช่วยลดฝุ่นละอองในอากาศ แต่ยังทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ส่งผลให้ถั่วลิสงที่ปลูกให้ผลผลิตสูง โดยในแต่ละไร่ นางลูกคั่นสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากถึง 800 กิโลกรัม และขายในราคาส่งกิโลกรัมละ 23 บาท ซึ่งนับเป็นรายได้เฉลี่ยไร่ละ 20,000 บาทเลยทีเดียว รายได้เสริมส่วนนี้จึงช่วยให้เธอมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วลิสงเรียบร้อยแล้ว นางลูกคั่นจะไถกลบต้นถั่วลงในดินเพื่อใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมพื้นที่ปลูกข้าวต่อในรอบถัดไป การใช้วิธีการนี้ทำให้ข้าวที่ปลูกในฤดูต่อไปมีคุณภาพดีและให้ผลผลิตสูงขึ้น นับเป็นวงจรการเกษตรแบบยั่งยืนที่ช่วยพัฒนาทั้งรายได้และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน