ที่บ้านดอนสระ หมู่ที่ 7 ตำบลพนมทวน อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี นางลูกคั่น ด้วงเดช เกษตรกรวัย 65 ปี ผู้มีประสบการณ์ทำนาปลูกข้าวมาหลายปี ได้พลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เสริมที่งดงาม โดยเธอมีพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ทั้งหมดประมาณ 100 ไร่ ซึ่งในอดีต เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวสิ้นสุดลง พื้นที่แปลงนามักจะถูกปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติม
แต่ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ นางลูกคั่นได้มองหาวิธีสร้างรายได้ระหว่างช่วงว่างเว้นจากการทำนา เธอเริ่มต้นด้วยการปลูกถั่วลิสง ซึ่งเป็นพืชที่สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 80 วันเท่านั้น อีกทั้งยังได้ผลผลิตที่ดีและมีราคาที่น่าพอใจอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอเลือกใช้วิธีการไถกลบซังข้าวแทนการเผา ซึ่งแตกต่างจากวิธีการดั้งเดิมที่เกษตรกรในพื้นที่นิยมเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวข้าว แต่มาตรการเข้มงวดของจังหวัดกาญจนบุรีที่ห้ามการเผาเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้การไถกลบกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม
การไถกลบซังข้าวไม่เพียงช่วยลดฝุ่นละอองในอากาศ แต่ยังทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ส่งผลให้ถั่วลิสงที่ปลูกให้ผลผลิตสูง โดยในแต่ละไร่ นางลูกคั่นสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากถึง 800 กิโลกรัม และขายในราคาส่งกิโลกรัมละ 23 บาท ซึ่งนับเป็นรายได้เฉลี่ยไร่ละ 20,000 บาทเลยทีเดียว รายได้เสริมส่วนนี้จึงช่วยให้เธอมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น
หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วลิสงเรียบร้อยแล้ว นางลูกคั่นจะไถกลบต้นถั่วลงในดินเพื่อใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมพื้นที่ปลูกข้าวต่อในรอบถัดไป การใช้วิธีการนี้ทำให้ข้าวที่ปลูกในฤดูต่อไปมีคุณภาพดีและให้ผลผลิตสูงขึ้น นับเป็นวงจรการเกษตรแบบยั่งยืนที่ช่วยพัฒนาทั้งรายได้และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
นายวีระศักดิ์ สุขทอง เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการปลูกถั่วลิสงของนางลูกคั่น พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับปรุงและดูแลผลผลิตให้ดียิ่งขึ้น เขายังชื่นชมไร่ของนางลูกคั่นว่าเป็นแปลงตัวอย่างที่เหมาะสมในการรณรงค์ลดการเผา เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในขณะนี้
ในด้านการจำหน่าย นางลูกคั่นเผยว่าเธอมีพ่อค้าเดินทางมารับซื้อผลผลิตถึงที่ บางครั้งก็จะนำไปขายเองตามตลาดในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านในชุมชนมาซื้อเพื่อนำไปประกอบอาหารหรือขายต่ออีกด้วย ทำให้รายได้เสริมจากการปลูกถั่วลิสงนั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้เธอสามารถพึ่งพาตนเองได้ดีขึ้น และยังเป็นต้นแบบที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรรายอื่นในชุมชนอีกด้วย