เกษตร

วันที่ 25 เมษายน 2568 ที่องค์การบริหารส่วนตำบลขามเฒ่า อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดงาน “วันลิ้นจี่ของดีตำบลขามเฒ่า” ประจำปี 2568 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร และประชาชนในพื้นที่ร่วมงานฯ การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ลิ้นจี่พันธุ์ดี รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ของเกษตรกรในตำบลขามเฒ่า เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ โดยเฉพาะ “ลิ้นจี่พันธุ์ นพ.1” ที่มีชื่อเสียงเรื่องผลดก ลูกโต รสชาติหวานอมเปรี้ยว เป็นลิ้นจี่คุณภาพสูงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถือเป็นสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในการส่งออกและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การประกวดลิ้นจี่พันธุ์ นพ.1 การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดลำดับที่ 1–3 การประกวดเทพีลิ้นจี่ การประกวดซุ้มนิทรรศการ รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้าจากกลุ่มเกษตรกรในตำบลขามเฒ่า นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า จังหวัดนครพนมจะสนับสนุนให้การจัดงานลิ้นจี่ของดีตำบลขามเฒ่ามีขนาดใหญ่ขึ้นในปีต่อ ๆ ไป โดยจะมีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกในหลายช่องทาง รวมถึงการพัฒนาสัญลักษณ์ของงาน เช่น มาสคอตลิ้นจี่ นพ.1 เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพิ่มความน่าสนใจ […]

วันที่ 25 เมษายน 68 ที่จังหวัดนครพนม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรชาวสวนลิ้นจี่ริมแม่น้ำโขง ในพื้นที่ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมืองนครพนม กำลังแข่งกับเวลา เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต \”ลิ้นจี่ นพ.1\” สายพันธุ์ขึ้นชื่อ เนื้อหวานฉ่ำ ลูกโตเต็มต้น บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ หลังผลผลิตปีนี้ให้ผลดกเป็นพิเศษ สร้างรายได้งามเป็นกอบเป็นกำถึงหลักแสนบาทต่อครัวเรือน แต่ความสุขของชาวสวนกลับต้องเผชิญกับความกังวล เมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนถึง พายุฤดูร้อน ที่อาจพัดถล่มหลายพื้นที่ ทำให้ฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อผลผลิตลิ้นจี่ที่กำลังสุกงอม หากไม่เร่งเก็บเกี่ยว อาจสร้างความเสียหายอย่างหนัก \”ช่วงนี้ลิ้นจี่กำลังได้ราคาดี กิโลกรัมละ 80-100 บาท มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงสวน บางคนก็เอาไปขายริมถนน ได้วันละหลายพันบาท แต่พอมีข่าวพายุมา พวกเราก็ต้องรีบเก็บกันแทบไม่ได้พัก กลัวฝนจะตกหนักแล้วลิ้นจี่จะร่วงเสียหายหมด\” ชาวสวนลิ้นจี่ กล่าวด้วยความกังวล สำหรับ \”ลิ้นจี่ นพ.1\” ถือเป็นลิ้นจี่สายพันธุ์เด่นของนครพนม มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยเล่ากันว่า เมื่อปี 2499 ญาติโยมได้นำลิ้นจี่จากทางภาคเหนือมาถวาย หลวงปู่จันทร์ เขมิโย พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัด ต่อมาชาวบ้านนาโดนได้นำเมล็ดไปปลูกและขยายพันธุ์ จนกระทั่งปี

พะเยา ชาวสวนเร่งเก็บ ลิ้นจี่ ต้นปีของดี จังหวัด ขายราคาดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อำเภอแม่ใจเป็นพื้นที่ปลูกลิ้นจี่มากที่สุดในจังหวัดพะเยา กว่า 12,000 ไร่ ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงที่ลิ้นจี่พันธุ์นครพนมกำลังออกผลผลิต ถือว่าเป็นลิ้นจี่พันธุ์แรกของ อ.แม่ใจ ที่ผลผลิตปีนี้มีจำนวนมาออกสู่ตลาดและราคากำลังดี โดยจะมีล้งมารับซื้อถึงสวนสำหรับราคาหน้าสวนช่วงแรกจะ กก.ละ 60 บาท และตอนนี้ยังอยู่ที่ 50 บาทถ้าขายปลีก กก.ละ 80-100 บาท ถือว่าราคาดีมาก และนอกจากนี้ยังมีลิ้นจี่พันธุ์ จักรพรรดิ และพันธุ์ฮงฮวย ที่ขึ้นชื่อ ซึ่งมีคำนิยามเของลิ้นจี่ อ.แม่ใจมีว่า “ไหล่ยก อกตั้ง หนามหด ก้นป้าน” ซึ่งเป็นลิ้นจี่ที่ขึ้นชื่อของ อ.แม่ใจ จ.พะเยา ว่าเป็นลิ้นจี่คุณภาพมาตรฐาน GI มาพร้อมรสชาติอร่อย หวานอมเปรี้ยว มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครและรอออกสู่ตลาดในเดือนพฤษภาคมนี้อีกด้วย นายทองสุข อภิวงค์ อายุ 58 ปี ชาวสวนลิ้นจี่อำเภอแม่ใจ เล่าว่า ปีนี้ผลผลิต ลิ้นจี่พันธุ์นครพนมออกเยอะมากและมากกว่าปีที่ผ่านมาด้วย เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยไม่ร้อนมาก และมีฝนตกลงมาปริมาณที่เหมาะสม

ตรัง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง สร้างฟาร์มต้นแบบเลี้ยงไก่ไข่-เป็ดไข่ตามหลักวิชาการ เน้นสุขภาพสัตว์และคุณภาพไข่ ขายผลผลิตสดใหม่ให้ชุมชนในราคาย่อมเยา ถูกกว่าราคาท้องตลาด แผงละ 5 บาท พร้อมให้บริการความรู้ด้านเกษตรครบวงจรแก่ผู้สนใจทั้งเรียนต่อและประกอบอาชีพ   ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง ต.นาท่ามเหนือ อ.เมือง จ.ตรัง เลี้ยงไก่ไข่และเป็ดไข่ ได้ผลผลิตสดใหม่ ขายให้บุคลากร ชาวบ้าน และร้านค้าในชุมชน เน้นการเลี้ยงตามหลักวิชาการและการจัดการฟาร์มที่ดี ซึ่งไข่ไก่และไข่เป็ดจากที่นี่ขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด แผงละ 5 บาท ไก่ไข่เบอร์ 0. ราคาแผงละ 125 บาท เบอร์1 ราคาแผงละ 115 บาท เบอร์ 2 ราคาแผงละ 105 บาท เบอร์3 ราคาแผงละ 100 บาท และเบอร์4 แผงละ 95 บาท ส่วนไข่เป็ด ไซส์เล็ก ราคาแผงละ 120 บาท ไซส์ใหญ่ 150 บาท

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 เม.ย.68 ที่โรงแรมสตาร์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ระยอง อ.เมือง จ.ระยอง นายกำธร เวหน รอง ผวจ.ระยอง เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวสินค้าโอทอปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเลือดจระเข้แคปซูล สุขภาพดีด้วยพลังธรรมชาติ \’BIOCROC\’ โดยมีนายบุญสนอง ตัณยะสิทธิ์ เจ้าของฟาร์มจะเข้ใหญ่ที่สุดในระยอง ตั้งอยู่เลขที่ 51/4 ม.8 ต.กะเฉด อ.เมืองระยอง เจ้าของผลิตภัณฑ์เลือดจระเข้ชนิดแคปซูล ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวฯ สำหรับผลิตภัณฑ์ BIOCROC เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตจากเลือดจระเข้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมของสารปรุงแต่งใดๆ ได้รับการรับรองจาก อย. ทุกแคปซูลผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมเกษตรที่ยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่สากล เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยและผู้บริโภคทั่วโลก ทั้งนี้ เลือดจระเข้ มีงานวิจัยรองรับว่า เลือดจระเข้มีสารที่ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดและช่วยอาการเจ็บของผู้ป่วย รวมทั้งยังมีประโยชน์ในการเสริมพลังทางระบบสืบพันธุ์ และช่วยฟื้นฟูผู้ที่มีภาวะโลหิตจางหรือเกล็ดเลือดต่ำ เหมาะสำหรับผู้อ่อนเพลีย ภูมิต้านทานต่ำ หรือเจ็บป่วยบ่อย ผู้มีภาวะโลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ หรือฟื้นฟูตัวจากผ่าตัด ผู้ที่เป็นเบาหวาน ภูมิแพ้ หอบหืด หรือมะเร็ง ผู้ที่วางแผนมีบุตร หรือมีภาวะมีบุตรยาก

สตูลปลูกสละอินโดเลี้ยงผึ้งในร่องสวนยางสร้างรายได้เสริมหลายแสนบาทต่อปี นางสาวปิยะนาถ โสลิกี้ เกษตรกรตัวอย่างในพื้นที่หมู่ที่ 6 ต.ควนกาหลง อ.ควนกาหลงจ.สตูล ซึ่งปลูกสละอินโดพันธ์สายน้ำผึ้ง ในร่องสวนยางพารา ประมาณ800ต้น พื้นที่ 8 ไร่ ซึ่งผลสละดังกล่าวกำลังให้ผลผลิตสามารถเก็บเกี่ยวส่งขายได้ทุกวันนอกจากนี้ยังเลี้ยงผึ้งเพื่อช่วยผสมเกสรสละอินโด ผลพวงมีน้ำผึ้งได้เก็บขายเพิ่มรายได้ให้อีกทางหนึ่ง นางสาวปิยนาถ กล่าว่า จุดเริ่มต้นจากการปลูกสละอินโดเนื่องจากรายได้ในสวนยางไม่พอ ราคายางตกต่ำ ทางเกษตรอำเภอจึงมาให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืชผสมผสานิสามารถสร้างรายได้เสริมได้ เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาตนเองจึงเลือกปลูกสละอินโดสายพันธ์น้ำผึ้งเหตุผลเพราะในพื้นที่ยังไม่มีใครปลูก ปลูกง่าย ทนแล้ง และที่สำคัญ สละอินโดสามารถอยู่ร่วมกับพืชชนิดอื่นได้ พออายุเข้า 3 ปีสละอินโดก็เริ่มให้ผลผลิต ตนจึงเก็บขายเพื่อนบ้าน ด้วยรสชาติที่หวาน กรอบ ผลโต เนื้อหนา ทำให้ลูกค้าชื่นชอบจนไม่พอขาย ผ่านมาจนถึงตอนนี้ สละที่ปลูกไว้มีอายุ8ปี ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมา โดยสามารถเก็บผลผลิตได้วันละประมาณ 30-40 กิโลกรัม ส่งขายลูกค้าทั้งในพื้นที่และทางออนไลน์ จึงทำให้ช่วงนี้สามารถสร้างรายได้ให้ตนวันละไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท ถือว่าเป็นรายได้เสริมที่ดีเพราะช่วงฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงพักกรีดยางแต่ก็ยังสามารถมีรายได้จากการขายสละ สำหรับสละอินโด พันธ์สายน้ำผึ้ง จะให้ผลิตตลอดปี แต่หน้าฝนรสชาตจะไม่หวานกรอบเหมือนหน้าแล้ง เคล็ดลับที่ทำให้สละติดผลดีก็คือการนำผึ้งโพรงมาเลี้ยง เพราะผึ้งโพรงสามารถช่วยผสมเกสรได้เป็นอย่างดี สำหรับตนตอนนี้เลี้ยงผึ้งโพรงอยู่ในสวนประมาณ 100

(21 เม.ย.68) เกษตรกรชาวสวนทุเรียนในพื้นที่บ้านโบอ่อง ตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กำลังเร่งเก็บเกี่ยวทุเรียนลอตแรกของปี ซึ่งเป็นชุดดอกกระเด็นและเป็นมีดแรก จากต้นฤดูกาล โดยผลผลิตในรอบนี้มาจาก 3 สวนหลักในพื้นที่ ได้แก่ สวนของพี่อยู่ศุภวัฒน์ ผู้ช่วยอดิศักดิ์ และสวนของลุงเยี่ยม รวมแล้วได้ผลผลิตกว่า 6 ตัน หลังจากตัดทุเรียนเสร็จแล้ว เกษตรกรได้ลำเลียงทุเรียนลงเรือหางยาวเพื่อส่งต่อให้กับผู้รับซื้อในพื้นที่ปลายทางก่อนกระจายสู่ตลาดผู้บริโภคต่อไป ทุเรียนทองผาภูมิขึ้นชื่อในเรื่องของ รสชาติที่โดดเด่น โดยมีความหวานมัน กลมกล่อม ไม่หวานแหลม เนื้อเนียนนุ่ม ละมุนลิ้น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ไม่ฉุนแรง ทุเรียนที่ปลูกในพื้นที่นี้เจริญเติบโตในสภาพภูมิประเทศแบบภูเขาและมีสภาพอากาศที่เย็นชื้น เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน จึงทำให้ผลผลิตมีคุณภาพสูงและได้รับความนิยมจากตลาดทั้งในและนอกพื้นที่.

พบชาวบ้านในตำบลลำพาน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปลูกผักชะอม หรือขา (ภาษาอีสาน) ตามพื้นที่สวน แปลงนา เป็นทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม ตัดยอดส่งขายทำรายได้อย่างน้อยวันละ 500 บาท สุดทึ่ง! บางรายไม่เชื่อก็ต้องเชื่อรับเต็ม ๆ วันละ 10,000 บาท ถือเป็นอาชีพทางเลือกใหม่ ปลูกครั้งเดียวเก็บผลิตขายได้นานกว่า 10 ปี ได้ชื่อเป็น “ผักพูดเพราะ” (ผักขา) พืชเศรษฐกิจเฉพาะพื้นที่ ราคาไม่ตก ขายเพียงมัดละ 10 บาท เปลี่ยนจากผักกลิ่นฉุนเป็นผักยอดนิยม สร้างมูลค่าเพิ่มและทำเงินก้อนใหญ่ สืบทอดจากรุ่นต่อรุ่นต่อเนื่องกันมานานกว่า 40 ปี วันที่ 20 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพ ของเกษตรกชาว จ.กาฬสินธุ์ ช่วงรอยต่อฤดูแล้งกับฤดูฝน ที่เริ่มจะมีฝนตกลงมาบ้างแล้ว ส่งผลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่เพาะปลูกตามแปลงเกษตรทั่วไป แตกกิ่งใบและเจริญเติบโตตามฤดูกาล เช่นเดียวกับผักชะอม หรือผักขา (ภาษาถิ่นอีสาน) ที่นิยมเพาะปลูกกันมากตามพื้นที่ที่เคยว่างเปล่า ที่สวน ที่กำลังแตกกอ ชูยอดอวบสีเขียวขจี

เกษตรกรเพชรบูรณ์คัดค้าน! นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ GMO จากสหรัฐ หวั่นกระทบราคาผลผลิต-ความมั่นคงทางอาหาร เวลา 13.00 น.วันที่ 18 เมษายน ที่ศาลากลางจังหวัดเพขรบูรณ์ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพชรบูรณ์ จำนวนราว 25 คน นำโดย นายธีรวัฒน์ รังสิกรรพุม ตัวแทนเกษตรกร และ นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ ส.ส.พชรบูรณ์ เขต 3 ได้เข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ คัดค้านการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตัดต่อพันธุกรรม (GMO) จากประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมแสดงความกังวลถึงผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบการเกษตรภายในประเทศ และความมั่นคงทางอาหารไทย โดย นายธีรวัฒน์ตัวแทนเกษตรกรฯ ระบุว่า การที่กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ ได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลไทย นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ แทนการนำเข้าเนื้อหมู โดยอ้างถึงวัตุดิบในประเทศ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กากถั่วเหลืองไม่เพียงพอ เป็นการสะท้อนข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง นายธีรวัฒน์กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีวัตถุดิบในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเพียงพอ อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5.5 – 6 ล้านตัน, มันสำปะหลัง 600,000 – 1,000,000 ตัน, ปลายข้าว