เกษตร

สตูลปลูกไผ่แซมสวนยางน้ำยางเพิ่มขึ้นแถมรายได้จากไผ่เดือนละหลักหมื่นบาท นายกิติ พรมขจร ชาวบ้าน หมู่ 7 ต.นิคมพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล ได้ทำสวนยางพาราพื้นที่ 3 ไร่ในหมู่ที่ 8 ต.นิคมพัฒนา อ.มะนัง หลังจากปลูกยางได้3ปีระหว่างรอยางตัดกรีด จึงปลูกไม้ไผ่ผากระหว่างร่องยางพารา เมื่อได้เวลาเปิดกรีดหน้ายาง ไม้ไผ่ก็ได้ใช้งานพร้อม ๆ กัน แต่ผลพวงจากการปลูกไผ่ทำให้ยางพารามีน้ำยางเข้มข้นขึ้น น้ำยางออกมากขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็นต์ และหน้ายางไม่ตายนึ่ง ไม่มีเชื้อรา เพราะใบไผ่มีเชื้อราไตรโคโดม่า ป้องกันโรคหน้ายางตายนึ่งและเป็นปุ๋ยอย่างดี แถมยังมีรายได้จากการขายต้นไผ่อีกเดือนละหลักหมื่นบาท นายกิติ พรมขจร กล่าวว่าตนมีความรู้เรื่องไผ่อยู่แล้ว ซึ่งไผ่มีประโยชน์มากแต่มีคนปลูกน้อย ส่วนใหญ่คนจะไปหาไผ่ป่าซึ่งเป็นพื้นที่รกตัดยาก ตนเห็นว่าระหว่างร่องสวนยางสามารถปลุกไผ่ได้จึงเลือกปลูกไผ่ผาก ซึ่งไผ่ดังกล่าวนำไปใช้ทำเป็นราวยาง ในโรงรมยาง ซึ่งใช้ไผ่นี้เท่านั้น นอกจากนี้สามารถใช้ในอุตสาหกรรมทำแมงกะพรุนและทำกระต๊อบ ทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่ ทำได้หลากหลาย โดยความยาวของไม้ไผ่ขนาด1.85-1.90 อยู่ที่ลำละ 9-12 บาท เวลามาตัดก็ง่าย รวมทั้งสวนยางเองก็ได้ประโยชน์น้ำยางได้มากขึ้นปกติยาง 3 ไร่น้ำยางจะได้ 30 ก.ก.แต่ของตนจะได้น้ำยางสดถึง 50 ก.ก. เพราะใบไผ่เป็นปุ๋ยอย่างดีและทำให้ยางไม่เป็นเชื้อรา […]

พบคุณป้าวัย 62 ปี ชาวตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เก็บหน่อผักพายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในท้องนามาสร้างมูลค่า ปลูกขายก้านดอกเป็นอาชีพเสริมทำเงิน เผยใช้พื้นที่เพียง 3 งานเก็บผลผลิตขายตลอดปี ระบุทำง่าย แทบไม่ได้ลงทุน มีรายได้วันละ 200-300 บาท บางเดือนมีออร์เดอร์เข้ามามาก มีรายได้กว่า 10,000 บาท ดีกว่าเลี้ยงกุ้งก้ามกรามและปลูกข้าวเสียอีก วันที่ 3 เมษายน 2568 จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพ ของเกษตรกรชาว จ.กาฬสินธุ์ในช่วงฤดูแล้ง พบว่ามีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย ตามความถนัดและตามบริบทของพื้นที่ ทั้งนี้ ได้พบนางภาวิณี ภูบุญเติม อายุ 62 ปี เกษตรบ้านเชียงงาม หมู่ 22 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งกำลังเก็บก้านดอกผักพายจำหน่ายให้กับแม่ค้า เพื่อส่งขายตลาดเกษตรและตลาดไทรังสิต จ.ปทุมธานี จากการสอบถามระบุว่าเก็บขายทุกวันตามออร์เดอร์ โดยจะมีรายได้ประมาณวันละ 200-300 บาท นางภาวิณี กล่าวว่า ผักพายหรือผักคันจอง เกิดขึ้นตามท้องนาโดยธรรมชาติ บางพื้นที่เรียกบอนจีน นางกวัก

สตูลเจ้าของร้านกาแฟปลูกอโลเวร่าต่อยอดสู่กาแฟอโลเวร่าตอบโจทย์สายสุขภาพ เจ้าของสวนกาแฟ เปิดร้านกาแฟช่วงโควิดพัฒนาสร้างคาแรกเตอร์ให้กับกาแฟรสชาติแปลกใหม่ ล่าสุดผุดไอเดียเก๋ปลูกอโลเวร่าหรือว่านหางจระเข้สายพันธุ์บาร์บาเด็นซิสที่กินได้ พร้อมต่อยอดเป็นเมนูเครื่องดื่มในร้านตอบโจทย์สายสุขภาพ นายเฉลิม ยืนยง ชาวบ้านหมู่ 5 ต.เกตรี อ.เมือง จ.สตูล ได้ล้มสวนปาล์มน้ำมันจำนวน 2 ไร่ที่ราคาผันผวนมาปลูกกาแฟ เนื่องจากเป็นคนที่ชื่นชอบกาแฟ โดยใช้กาแฟพันธุ์โรบัสต้า แบบโปรเซส โดยเลือกเก็บผลเชอร์รี่กาแฟที่มีความสุกจัดออกมาและโปรเซส เป็น Wash Process, Honey Process, หรือ Natural Process (Dry Process) ซึ่งเป็นคาเรกเตอร์ของกาแฟที่กำลังได้รับความนิยม โดยการแฟของนายเฉลิมเป็นการทำกาแฟแบบพรีเมี่ยม ต่อมาได้ผลิตกาแฟสูตรพิเศษแอนาลูบิก หมักกาแฟกับดอกหมาก ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวรสชาติกลมกล่อมกลายเป็นที่ต้องการของลูกค้า   โดยนายเฉลิม ยืนยง กล่าวว่า เมื่อปี64 เป็นช่วงสถานการณ์โควิด ชาวบ้านส่วนใหญ่ถูกกักตัว ขณะนั้นราคาปาล์มน้ำมันผันผวนราคาอยู่ที่2-3 บาทตนตัดสินใจเปลี่ยนมาปลูกกาแฟ และปรับสวนกาแฟให้ปลูกทุกอย่างที่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกัน ประกอบกับเป็นช่วงที่ลูกชายเรียนจบพอดี จึงได้เปิดร้านกาแฟเล็กๆให้ลูกชายดูแล ใช้ชื่อว่า “ Coffee Engineering” เพราะลูกชายจบวิศวะกรรมการบินมา ปรากฏว่ากาแฟของตนได้รับความนิยมจากลูกค้า จากซุ้มกาแฟเล็กๆกลายเป็นร้านกาแฟและกลายเป็นแหล่งเรียนรู้กาแฟโรบัสต้าสตูล ซึ่งร้านกาแฟจะร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ น้ำตกจำลอง

สวนลุงวุฒิ ออร์แกนิคฟาร์ม คว้าใบรับรองมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ หนุนไข่ไก่ไร้กรงสู่ตลาดที่ยั่งยืน สวนลุงวุฒิ ออร์แกนิคฟาร์ม จังหวัดพังงา ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมไข่ไก่ หลังได้รับใบรับรองมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ในระบบฟาร์มการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ขังกรง (Cage-Free) จากบริษัท คะตะลิสต์ วิสาหกิจเพื่อสังคม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมการผลิตไข่ไก่ที่มีจริยธรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น ใบรับรองดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ \”กรอบคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับแม่ไก่\” (Good Life Framework for Hens) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ อาทิ มหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน สาธารณรัฐไอร์แลนด์ และ Laying Hen Welfare Forum ประเทศอังกฤษ รวมถึงมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเกษตรกรพัฒนาระบบฟาร์มให้สอดคล้องกับหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล 5 ประการ (Five Freedoms of Animal Welfare) ลุงวุฒิ เจ้าของสวนลุงวุฒิ ออร์แกนิคฟาร์ม เปิดเผยว่า \”การเลี้ยงไก่ไข่แบบไร้กรงไม่เพียงช่วยให้แม่ไก่มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค เนื่องจากฟาร์มของเราใช้สูตรสมุนไพรแทนยาปฏิชีวนะ รวมถึงช่วยส่งเสริมสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ยั่งยืน\” ปัจจุบัน ตลาดไข่ไก่แบบไม่ขังกรงกำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคและธุรกิจอาหารชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร

พังงา สวนลุงวุฒิ ออร์แกนิคฟาร์ม คว้าใบรับรองมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ หนุนไข่ไก่ไร้กรงสู่ตลาดที่ยั่งยืน สวนลุงวุฒิ ออร์แกนิคฟาร์ม จังหวัดพังงา ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมไข่ไก่ หลังได้รับใบรับรองมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ในระบบฟาร์มการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ขังกรง (Cage-Free) จากบริษัท คะตะลิสด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมการผลิตไข่ไก่ที่มีจริยธรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น ใบรับรองดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ \”กรอบคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับแม่ไก่ \” (Good Life Framework for Hens) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ อาทิ มหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน สาธารณรัฐไอร์แลนด์ และ Laying Hen Welfare Forum ประเทศอังกฤษ รวมถึงมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเกษตรกรพัฒนาระบบฟาร์ม ให้สอดคล้องกับหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล 5 ประการ (Five Freedoms of Animal Welfare) ลุงวุฒิ เจ้าของสวนลุงวุฒิ ออร์แกนิคฟาร์ม เปิดเผยว่า \”การเลี้ยงไก่ไข่แบบไร้กรง ไม่เพียงช่วยให้แม่ไก่มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลดีดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค เนื่องจากฟาร์มของเราใช้สูตรสมุนไพรแทนยาปฏิชีวนะ รวมถึงช่วยส่งเสริมสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ยั่งยืน\” ปัจจุบัน

  วันที่ 1 เมษายน 2568 นางสาวเชาวนีฐ์ โคมแก้ว ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ ประธานคณะกรรมการกลั่นกรองเอกสารและจัดเก็บข้อมูลสาขาอาชีพไร่นาสวนผสมดีเด่น ระดับเขต ประจำปี 2568 ลงพื้นที่ดำเนินการพิจารณากลั่นกรองผลงาน รอบที่ 2 ของนายประเสริฐ ยุวกาฬกุล กิจกรรมการเกษตร เช่น ทำนา ปลูกผัก เพาะเห็ด ยางพารา ทุเรียน เลี้ยงผึ้ง ชันโรง เลี้ยงสัตว์ ไข่เค็มหมกทรายสายแร่ทองคำ ปลูกพืชกว่า 200 ชนิด ฯลฯ ณ ตำบลร่อนทอง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อพิจารณาและสรุปผลคะแนนเพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนในระดับเขต รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของกลุ่มแปลงใหญ่ในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขอบคุณท่านเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เกษตรอำเภอบางสะพาน ทีมงานทุกระดับ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน  

สตูลมะเดื่ออินโดยักษ์ต้นเดียวสร้างรายได้ครึ่งหมื่นเตรียมขยายที่ปลูกเพิ่ม นางอบรม เมืองปาน เกษตรกรในพื้นที่หมู่ที่4 ต.นิคมพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล พาผู้สื่อข่าวไปดูต้นมะเดื่อยักษ์ที่ปลูกไว้หลังบ้าน ที่กำลังให้ผลผลิตออกลูกเต็มต้นมีทั้งลูกแก่และลูกสุกที่สามารถเก็บผลสุกไปขายได้ทุกวัน โดยมะเดื่ออินโดยักษ์ เป็นผลไม้ชนิดใหม่ในพื้นที่ที่ยังไม่มีใครปลูก ลักษณะลำต้นคล้ายต้นมะเดื่อทั่วไปแต่มีผลที่ใหญ่กว่า น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 20 ลูกต่อ1กิโลกรัม ผลสุกมีสีแดงเข้ม เปลือกบางเมื่อผ่าดูเนื้อด้านในจะเป็นชั้นเหมือนวุ้น ใจกลางจะเป็นเมล็ดเล็กๆ ซึ่งเมล็ดจะไม่แข็งเหมือนผลไม้ทั่วไป โดยสามารถทานได้ทั้งเปลือกและเมล็ด รสชาติจะหวาน เนื้อนุ่มเหมือนวุ้น นางอบรมเล่าให้ฟังว่า เมื่อ5ปีก่อน น้องชายได้เอาต้นมะเดื่อมาฝาก จึงปลูกทิ้งไว้ที่ในสวนหลังบ้าน 1ปีผ่านไปก็ออกผลให้ทานมาตลอด จนมาปีนี้เห็นว่ามีผลดกจึงได้ทดลองนำมาขายในราคาถุงละ 20 บาท มีประมาณ 5-6 ลูกเล็กใหญ่คละกันไป ปรากฏว่าลูกค้าที่ซื้อทานเริ่มชอบสั่งเพิ่มมามากมายจนเก็บขายแทบไม่ทัน ลูกค้าบางคนบอกว่า เคยซื้อมะเดื่ออบแห้งราคากิโลละหลักพัน แต่พอมาทานผลสดรสชาติอร่อยกว่า ลูกค้าบางคนบอกว่าชอบทานเพราะผลมะเดื่อมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินสูงแถมช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย นางอบรม กล่าวต่อว่า มะเดื่อปลูกง่ายทนต่อทุกสภาพอากาศ แถมไม่มีศัตรูพืช แมลงหรือหนอนชอนไชผลสุก สำหรับมะเดื่อ 1 ต้นนี้อายุประมาณ 5 ปี สามารถเก็บผลขายได้ประมาณ 5,000 บาท ซึ่งตอนนี้ตนเองเตรียมพื้นที่ขยายปลูกเพิ่มเนื่องจากลูกค้าเริ่มชื่นชอบและสั่งซื้อเข้ามามากมาย….