เรียนย้ำอีกครั้งว่า จนถึงเวลานี้ ผมได้รับข้อความเตือนจาก DDPM เพียงครั้งเดียวนับจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันศุกร์ ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น.
DDPM ย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ซึ่งเป็นหน่วยงานของ กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทย มีหน้าที่หลักในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น อุทกภัย ไฟป่า แผ่นดินไหว และภัยพิบัติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในการจัดการภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ (ข้อมูลจากการค้นหาด้วย Chat GPT)
คำแจ้งเตือนที่ผมได้รับเป็น วันเสาร์ ที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 17.13 น. โดยข้อความแจ้งมาว่า “วิธีปฏิบัติตัวหากเกิดอาฟเตอร์ช็อค : 1. รวบรวมสติ 2.ในบ้านให้หาที่กำบังที่แข็งแรง หนีออกจากอาคารสูง อยู่ห่างจากสิ่งที่ล้มทับได้ 3. ห้ามใช้ลิฟท์เด็ดขาด 4. อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้า สอบถามโทร 1784“
แต่การแจ้งเตือนเหตุแผ่นดินไหว ไม่มีมาก่อน ทั้งจากศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและจาก กสทช. ด้วย
หลายคนอาจจะสงสัยว่าศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ยังมีอยู่อีกเหรอ ยังมีอยู่ครับ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ศูนย์เตือนภัยพิบัติก็เปลี่ยนแปลงตามการเมือง
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เกิดขึ้นปี 2548 หลังเหตุการณ์สึนามิ 1 ปี ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ขึ้นอยู่กับกรมอุตุนิยมวิทยา ต่อมาย้ายไปสังกัดกระทรวงดีอี
การเมืองตามมาเล่นงาน ถูกย้ายไปสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แต่สำนักงานยังตั้งอยู่ในกรมอุตุนิยมวิทยา มีเจ้าหน้าที่ของตัวเองอยู่เวรยามตลอด 24 ชั่วโมง ถ้ามีเหตุด้วยสามารถเตือนภัยได้ใน 3 นาที ด้วยการแจ้งประสานไปยัง กสทช. ให้ส่งเอสเอ็มเอส ไปยังมือถือของทุกคนได้
ถ้ามีเหตุการณ์ใหญ่ระดับให้รัฐบาลตัดสินใจ หรือนายกรัฐมนตรีตัดสินใจ ภายศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติมีห้องส่งที่หรูหรามาก สามารถออกสดได้ทันที มีอุปกรณ์พร้อม เพียงประสานไปยัง กสทช. เพื่อออกอากาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก็สามารถทำได้ และ กสทช. ก็แจ้งขอความร่วมมือไปยังทีวีดิจิทัลให้รับสัญญาณจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น
ห้องส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่กล่าวถึง เท่าที่มีประสบการณ์ทำช่องระวังภัยมาก่อน (เตือนภัยพิบัติ) ยังไม่เคยเห็นได้ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ที่มีอยู่เลย
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นที่รู้จักกัน น่าจะเป็นยุค ”สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ“ เป็น ผอ.ศูนย์ฯ เราจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านเอสเอ็มเอสอยู่เนืองๆ แต่หลังจาก ผอ.สมศักดิ์ ขยับขึ้นไปนั่งตำแหน่งอื่น ชื่อของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติจะหายไปจากสารบบของข่าวสาร แม้กระทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวคราวนี้ เราก็ไม่เห็นชื่อของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติปรากฏให้ได้เห็นได้ยินเลย
กสทช. (บางคน) เริ่มมีแนวคิดจะจัดตั้งสถานีโทรทัศน์แนวเตือนภัยขึ้นมาอีก ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ช่องสัญญาณโทรทัศน์ก็มีอยู่เหลือเฟือ
ช่วงทำช่องระวังภัยแรกๆ แค่อยากทำข่าวอาชญากรรม (crime) อาชญากรรมเชิงซ้อน แต่เมื่อระดับอาวุโสมานั่งคุยกัน จึงแตกความคิดออกไปมาก นอกจากอาชญากรรมแล้ว ยังมีภัยพิบัติ ปัญหาชุมชนเมือง เรื่องภัยจากการบริโภคที่ควรได้รับการแจ้งเตือน
จาก crime จึงแปลงโฉมมาเป็นระวังภัย ถือกำเนิดขึ้นปี 2554 รับสถานการณ์มหาอุทกภัยพอดี ด้วย 3 บก. นั่งบริหาร กับนักข่าวแค่ 7-8 คน นักข่าวก็ทำหน้าที่ผู้ประกาศด้วย ลงพื้นที่ทำข่าวด้วย บรรดา บก. ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Nikorn Chunprom, โดม สุวาวัลย์, เฉลียว คงตุก ถูกจับออกจอหมด
ที่เหลือเป็นทีมเบื้องหลัง โปรดิวเซอร์ โคโปรดิวส์ ที่ถูกจับมาทำงานอย่างไม่มีประสบการณ์แนวระวังภัยมาก่อน กับห้องส่งเล็กๆ ขนาดห้องส่งวิทยุ กล้องเล็กๆ แต่เป็นระบบดิจิทัลหมด
ข้อมูลมากมายที่ล่องลอยอยู่ในอากาศถูกจับมาใส่บนหน้าจอ การเชื่อมโยงกล้องวงจรปิดจากทั่วทุกมุมเมือง ถูกจัดวางเข้าสู่ระบบออกอากาศ ไม่เว้นแม้แต่กล้องวงจรปิดของตำรวจ
เพียงไม่กี่เดือนกับสถานการณ์มหาอุทกภัยเอื้ออำนวยให้ช่องระวังภัยก็แจ้งเกิดในวงการโทรทัศน์ดาวเทียมในยุคนั้น
จริงๆ ถ้ารัฐบาล หรือ กสทช. ตื่นรู้ถึงภัยพิบัติ ควรจะจัดสรรช่องแนวเตือนภัย ระวังภัยให้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ด้วยความไม่ตระหนักรู้ทีวีแนวระวังภัย เตือนภัยจึงไม่เกิดขึ้น ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติยังถูกทอดทิ้ง มีเจ้าหน้าที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน \’ศูนย์เตือนภัยพิบัติจึงมีสภาพเป็นยิ่งกว่าลูกเมียน้อยอีก\’
#นายหัวไทร
#ศูนย์เตือนภัย
#แผ่นดินไหว