สระแก้ว – ทางการกัมพูชาส่งตัว 9 คนไทย หลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งกัมพูชากลับไทย ที่ด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
เมื่อวันที่ 21 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 1201 ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.อรัญประเทศ สังกัดกองกำลังบูรพา ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว ร่วมให้การช่วยเหลือชาวไทยจากประเทศกัมพูชา จำนวน 9 คน แบ่งเป็นชาย 6 คน หญิง 3 คน บริเวณ สะพานมิตรภาพไทย–กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก-ปอยเปต พิกัด TA 349116 บ.คลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

ทั้งนี้ สำหรับคนไทยทั้ง 9 คน ประกอบด้วย 1.นายเอกพจน์ พัฒพันธ์ อายุ 30 ปี บ้านเลขที่ 26/27 ม.4 ต.วัดแค อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ,2.นายชวลิต แก้วศรี อายุ 25 ปี บ้านเลขที่ 67 ม.6 ต.หนองเม็ก อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น ,3.นายหัด น้อย อายุ 27 ปี บ้านเลขที่ 23 ม.4 ต.ช่องกุ่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว, 4.นายสิทธิศักดิ์ เพ็งสุวรรณ์ อายุ 20 ปี บ้านเลขที่ 599/4 ม.8 ต.โพทะเล อ.โพทะเล จ.พิจิตร ,5.นายสมพงษ์ (ไม่มีนามสกุล) อายุ 21 ปี ที่อยู่ตามบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เลขที่ 318 ถ.สุขุมวิท ต.ห้วยโป่ง อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ,6.นายอภิชาติ คชสาร อายุ 48 ปี บ้านเลขที่ 202/14 ม.11 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง ,7.นางสาวกัลยา มาลา อายุ 28 ปี บ้านเลขที่ 74 ม.5 ต.กุดน้ำใส อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ ,8.นางสาวสิรินภา เสมาทอง อายุ 22 ปี บ้านเลขที่ 11 ม.3 ต.ท่าอิบุญ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ,9.นางสาวอินอร แซ่ลี้ อายุ 17 ปี บ้านเลขที่ 84 ม.15 ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
จากการสอบถาม นายเอกพจน์ พัฒพันธ์ ให้การว่า โดนหลอกให้ไปทำงานกับกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ด้านการตลาดโดยการชักชวนและโฆษณาชวนเชื่อให้บุคคลอื่นมาร่วมทำงาน โดยจะได้รับเงินเดือน 600 ดอลลาร์/เดือน เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อประมาณเดือน ม.ค.68 ติดต่อหางานผ่านทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก จากนั้น ผู้นำพาได้จ้างรถรับจ้างสาธารณะ (รถแท็กซี่) ไปรับที่บ้านพักอาศัย จ.นครปฐม มาลงที่ จ.นนทบุรี จากนั้น มีบุคคลเพศชายชาวไทยมารอรับ และนอนพักที่ จ.นนทบุรี จำนวน 1 คืน ต่อมา ได้เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมาส่งที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เวลาประมาณ 20.00 น. จากนั้นได้นั่งรถยนต์ไปยังบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ไม่ทราบพื้นที่ จากนั้นได้ข้ามลำคลองแนวชายแดนด้วยแพทรงกลม ข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เวลาประมาณ 22.30 น.
เมื่อข้ามไปถึงฝั่งประเทศกัมพูชา ได้มีรถจักรยานยนต์มารับ เดินทางไปสถานที่ทำงานของกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ กลุ่มคนดังกล่าวได้ทำการยึดสมุดบัญชีธนาคารและยึดโทรศัพท์มือถือ ในระหว่างทำงานได้มีการถูกส่งตัวให้ไปทำงานอีกหลายสถานที่ นายเอกพจน์จึงได้ขอลาออกจากงานดังกล่าว เพื่อกลับภูมิลำเนา ประเทศไทย แต่ทางกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์แจ้งว่า ไม่ให้ลาออก ถ้าอยากกลับประเทศไทยจะต้องมีเงินมาไถ่ตัว จำนวน 15,000 บาท เนื่องจากนายเอกพจน์ไม่มีเงินมาไถ่ตัวเอง จึงได้ทำการหลบหนีออกมาจากสถานที่ทำงานดังกล่าว และได้ขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา เนื่องจากเป็นบุคคลลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตำรวจกัมพูชาจึงได้จับกุมและถูกคุมขัง เป็นเวลา 1 เดือน และได้ส่งตัวไปยังกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสานเจ้าหน้าที่ ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย

ส่วนนายชวลิต แก้วศรี ให้การว่า ได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อประมาณวันที่ 20 ม.ค.68 ติดต่อหางานผ่านทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก จากนั้นผู้นำพาได้ขับรถยนต์เก๋งมารับจากบ้านพักอาศัย จ.สมุทรปราการ ในวันที่ 20 ม.ค.68 มาถึงที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เวลาประมาณ 11.00 น. จากนั้นได้มีรถยนต์กระบะมารับไปยังบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ทราบพื้นที่ ลักษณะพื้นที่เป็นป่ารก จากนั้นได้เดินเท้าข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เวลาประมาณ 12.00 น. เมื่อข้ามไปถึงฝั่งประเทศกัมพูชาได้มีรถจักรยานยนต์มารับ เดินทางไปสถานที่ทำงานของกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์และได้เริ่มทำงาน เป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟีลแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน แต่เนื่องจากทำงานไม่ได้เงินเดือนและมีความไม่สบายใจในการทำงาน จึงมีความต้องการที่จะกลับภูมิลำเนาประเทศไทย จึงได้ทำการหลบหนีออกมาจากสถานที่ทำงานดังกล่าว และได้ขอความช่วยเหลือกับ จนท.หน่วยงานฝั่งประเทศกัมพูชา และได้ส่งตัวไปยังกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสาน ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย
ขณะเดีวกัน จากการสอบถาม นายหัด น้อย ให้การว่า ได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อประมาณวันที่ 1 ม.ค.68 ติดต่อหางานผ่านทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก เป็นงานประเภทแอดมินตอบแชทลูกค้า โดยถ้าไปทำงานจะได้รับเงินเดือนเดือนละ 35,000 บาท/เดือน จากนั้นผู้นำพาได้จ้างรถรับจ้างสาธารณะ (รถแท็กซี่) ไปรับที่บ้านพักอาศัย จ.ระยอง ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของแฟนสาว มาลงที่บริเวณห้างสรรพสินค้าสตาร์พลาซ่าตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้มีบุคคลเพศชาย ชาวไทย ขับรถยนต์เก๋งสีขาวมารับ มุ่งหน้าผ่านไปทางห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ไม่ทราบเส้นทางต่อไป ไปถึงบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ไม่ทราบพื้นที่ จากนั้นได้ข้ามลำคลองแนวชายแดนด้วยแพโฟมไปยังประเทศกัมพูชา
เมื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชาได้มีรถจักรยานยนต์มารับไปที่ จ.ไพรเวง ประเทศกัมพูชา จนไปถึงสถานที่ทำงาน ลักษณะเป็นตึก 5 ชั้นสีขาว มีรั้วสังกะสีสีดำล้อมรอบ และเริ่มทำงานเป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟีลแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน ทำงานได้ประมาณ 2 เดือน เนื่องจากทำงานไม่ได้ตามยอดที่กลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์กำหนด จึงถูกขายต่อไปให้กับกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์อีกกลุ่มนึง เป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟีลแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงินเหมือนกัน ทำงานได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ทำงานไม่ได้ตามยอดที่กลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์กำหนด จึงถูกนำตัวไปทำร้ายร่างกาย โดยนำตัวขึ้นรถไปทำร้ายที่อื่น แต่นายหัด น้อย ได้ขอร้องให้ทำการปล่อยตัว บุคคลกัมพูชาเพศชายสงสาร จึงได้ทำการปล่อยตัว นายหัด น้อย ได้ทำการขอความช่วยเหลือจาก จนท.ตำรวจกัมพูชาในพื้นที่ จนท.ตำรวจกัมพูชาจึงได้ช่วยเหลือและได้ส่งตัวไปยังกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสาน ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย

ส่วน นายสิทธิศักดิ์ เพ็งสุวรรณ์ และ นายสมพงษ์ ให้การว่า ได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อประมาณวันที่ 10 ม.ค.68 โดยมีเพื่อนชื่ออภิสิทธิ์ ชักชวนให้ไปทำงานก่อสร้างในพื้นที่ จ.สระแก้ว ต่อมาวันที่ 10 ม.ค.68 เวลาประมาณ 15.00 น. จึงได้นั่งรถโดยสารสาธารณะ(รถบัส) จากบ้านพักอาศัย จ.ระยอง มาลงที่ บขส.อรัญประเทศ เวลาประมาณ 20.00 น. จากนั้นได้มีบุคคลชาวไทยเพศชายมารับจาก บขส.อรัญประเทศ มาส่งที่บริเวณตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้มีบุคคลเพศชายชาวไทยเดินเท้ามารับ และพาเดินเท้าไปยังบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา (ไม่ทราบพื้นที่) และข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อข้ามไปพบเป็นตึก 15 ชั้นและมีบ่อนคาสิโน จากนั้นได้มีบุคคลชาวกัมพูชาเพศชาย ขับรถยนต์เก๋งมารับไปที่ จ.ไพรเวง ประเทศกัมพูชา จนไปถึงสถานที่ทำงาน ลักษณะเป็นตึกสูงสีขาว มีรั้วสังกะสีล้อมรอบ และได้เริ่มทำงานเป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟีลแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน ทำงานได้ประมาณ 1 เดือน จากนั้นได้ทราบว่าจะถูกขายต่อไปที่อื่น จึงได้ทำการหลบหนีออกมาจากสถานที่ทำงานดังกล่าว และขอความช่วยเหลือจาก กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสาน จนท.ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย
และจากการสอบถาม นางสาว กัลยา มาลา ให้การว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ.68 เพื่อนชาวไทยได้ชักชวนให้ไปเที่ยวที่ประเทศกัมพูชา จึงได้ออกเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะจากบ้านพักอาศัย จ.ชัยภูมิ มาลงที่ อ.เมือง จ.สระแก้ว และนั่งรถโดยสารสาธารณะ (รถตู้) มาลงที่บริเวณ บ.คลองลึก ต.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มาถึงเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันเดียวกัน จากนั้นได้มีชายชาวกัมพูชาที่เพื่อนติดต่อให้พาข้ามชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ ห่างจากจุดตรวจคนเข้าเมืองบ้านคลองลึกประมาณ 1.5 กม. และเดินลัดเลาะมุดรั้วลวดหนามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อไปถึงมีชายชาวกัมพูชาขับรถยนต์มารับแล้วพาเดินไปยังสถานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ จ.พนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อไปถึงจึงรู้ว่า เพื่อนหลอกให้มาทำงานกับกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ เป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟีลแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน จากนั้นได้ทราบว่า จะถูกขายต่อไปที่อื่น จึงได้ทำการหลบหนีออกมาจากสถานที่ทำงานดังกล่าว และขอความช่วยเหลือจาก กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสาน ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย
ส่วน นางสาว สิรินภา เสมาทอง ให้การว่า ได้มีบุคคลที่ไม่รู้จักแอดไลน์มาชักชวนทำงานประเภทแอดมินตอบเเชทลูกค้า โดยจะได้เงินเดือนจำนวน 23,000 บาท นางสาวสิรินภาไม่มีงานทำจึงสนใจ ต่อมาวันที่ 7 มี.ค.68 ได้ออกเดินทางจากบ้านพักอาศัย จ.อุทัยธานี ด้วยรถโดยสารสาธารณะ(รถตู้)มาลงที่ กรุงเทพมหานคร จากนั้นนั่งรถโดยสารสาธารณะ(รถตู้) มาลงที่ห้างสรรพสินค้าสตาร์พลาซ่า อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้มีผู้นำพาชาวกัมพูชาขี่รถจักรยานยนต์มารับไปยังบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ไม่ทราบพื้นที่ ลักษณะเป็นป่าและบ้านร้าง จากนั้นได้ข้ามลำคลองแนวชายแดนด้วยแพโฟมข้ามไปยังประเทศกัมพูชา
เมื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ได้มีชาวกัมพูชาขับรถตู้มารับ ไปที่จังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศกัมพูชาที่ติดกับประเทศเวียดนาม สถานที่ทำงานเป็นลักษณะตึก 5 ชั้นสีขาว จากนั้นจึงได้เริ่มทำงาน และได้ทราบว่าเป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟีลแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน ด้วยความที่ไม่เต็มใจทำงานและทำงานไม่ได้ตามยอดจึงได้ถูกทำร้ายร่างกายและถูกปล่อยตัวมาทิ้งไว้บริเวณโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จากนั้นได้ทำการขอความช่วยเหลือจาก จนท.ตำรวจกัมพูชาในพื้นที่ จนท.ตำรวจกัมพูชาจึงได้ช่วยเหลือและได้ส่งตัวไปยังกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสาน เจ้าหน้าที่ ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย
ทางด้าน นางสาวอินอร แซ่ลี้ ให้การว่า ได้มีเพื่อนชักชวนให้ไปทำงานเป็นล่ามแปลภาษาที่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากนางสาวอินอรฯ พูดภาษาจีนได้ โดยจะได้รับเงินเดือนจำนวน 50,000 – 60,000 บาท ตนจึงสนใจ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มี.ค.68 เวลา 10.00 น. ได้ออกเดินทางจากบ้านพักอาศัย กรุงเทพมหานคร ด้วยรถโดยสารส่วนบุคคล(แท็กซี่)มาลงที่ บขส.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้มีผู้นำพาชาวไทยขี่รถจักรยานยนต์มารับไปยังบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ไม่ทราบพื้นที่ ลักษณะเป็นป่าและบ้านร้าง จากนั้นได้ข้ามลำคลองแนวชายแดนด้วยแพโฟมข้ามไปยังประเทศกัมพูชา
เมื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ได้มีชาวกัมพูชาขับรถยนต์เก๋งมารับไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และได้ทำการพักคอยอยู่ภายในโรงแรมแห่งนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นได้มีบุคคลชาวจีนเพศชายเข้าห้องมาและจะกระทำการข่มขืน นางสาวอินอรจึงได้ไล่ชาวจีนดังกล่าวให้ออกไป และทำการวิ่งหนีออกมาจากโรงแรมดังกล่าว โดยขอความช่วยเหลือจากพนักงานโรงแรม จากนั้นได้มีชาวกัมพูชาในพื้นที่ให้การช่วยเหลือโดยการติดต่อรถรับจ้างไปส่งที่ กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อขอความช่วยเหลือและรอผลักดันกลับประเทศไทยต่อไป จนวันที่ 20 มี.ค.68 กงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้ประสาน ตม.จ.สระแก้ว ผลักดันกลับประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนไทยทั้ง 9 คน ซึ่งถือว่า เป็นผู้ต้องหา เนื่องจากเดินทางออกนอกประเทศโดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงการดำเนินการต่อผู้ต้องหาโดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อย.ทพ.1201 ได้นำตัวชาวไทยทั้งหมด ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ ตม.จ.สระแก้ว เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ ตม.จ.สระแก้ว จะทำการเปรียบเทียบปรับ เนื่องจากเข้าออกผิดช่องทาง จำนวน 800 บาท/คน ก่อนส่งตัวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อตามกระบวนการของศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์ (NRM) ต่อไป
—————————-
ภาพ/กกล.บูรพา