BRN ไม่ควรละเลยความจริงใจของรัฐบาลมาเลเซียและไทย ในการแก้ไขความขัดแย้งในพื้นที่ จชต. แม้ BRN ยังคงก่อเหตุรุนแรงต่อเนื่อง

\"\"

สำนักข่าว UtusanTV มาเลเซีย ได้เขียนบทความที่น่าสนใจ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์นายกรัฐมนตรี Datuk Seri Anwar Ibrahim และอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ที่เกี่ยวข้องกับอาเซียน 

นอกจากปัญหาเมียนมาแล้ว ยังมีการกล่าวถึงปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยอีกด้วย ทักษิณฯ กล่าวกับสื่อมวลชนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ว่าทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าควรใช้ความพยายามร่วมกันเพื่อลดหรือยุติความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็วที่สุด 

ทักษิณแสดงความมั่นใจว่า จากการหารือเชิงลึกกับนายกอันวาร์ มั่นใจว่าสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะดีขึ้น 

แน่นอนว่าอดีตนายกทักษิณฯ ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2544 ถึง 2549 ไม่ได้พูดคําพูดที่ว่างเปล่า เพราะเขาเห็นความจริงใจของรัฐบาลมาเลเซีย ผ่านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ฯ ในการฟื้นฟูสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทยซึ่งก็เป็นลูกสาวของเขา ..แพทองธารฯ ได้แสดงความมุ่งมั่นในการที่จะขับเคลื่อนการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

ทักษิณฯ เปิดเผยผลการประชุมกับอันวาร์หลังจากช่วงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ถึง 7 กุมภาพันธ์ กลุ่มแบ่งแยกดินแดนฝ่ายปีกทหารของแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (BRN) ได้ก่อเหตุระเบิดอย่างน้อย 3 ครั้ง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีก 3 คน รวมถึงบาดเจ็บสาหัส 1 คน 

ผู้นํา BRN อาจมีความสุขกับการโจมตี แต่ประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนที่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขคืออะไร? การกระทำที่รุนแรงเพื่อแสดงให้เห็นว่า BRN มีกําลังที่จะต่อสู้หรือไม่? และสิ่งที่พวกเขาทำจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่

พวกเขาควรหยุดความปรารถนาเช่นนี้เพราะได้รับการพิสูจน์แล้ว จากการเยือนพื้นที่ที่นี่ เมื่อเร็ว นี้ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พี่น้องประชาชนยินดีกับความพยายามทั้งหมดของรัฐบาลไทยในอันที่จะพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่ง ขึ้น 

\"\"

ผู้เขียนเข้าใจว่า อาจมีผู้นําอาวุโสบางคนใน BRN ที่รู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจะบรรลุได้ผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธเท่านั้น แต่พวกเขาต้องตระหนักว่าเวลาเปลี่ยนไป 

หากเป็นความจริงที่พวกเขากําลังต่อสู้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การกระทำความรุนแรงด้วยการโจมตีด้วยระเบิดที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด 

และมันจะไร้ความหมายมากขึ้น หากการกระทำนั้นถูกปฏิเสธโดยพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่โดยสิ้นเชิง  

แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น ในทางตรงกันข้าม BRN ถือว่ามีแต่ทำให้สถานการณ์แย่ลง แม้ว่าในแง่หนึ่งพวกเขามีเจตนาดีที่จะต่อสู้เพื่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ 

ไม่ผิดที่จะมีเจตนาเช่นนั้น แต่มิใช้ช่องทางที่ถูกต้อง การจับอาวุธไม่ใช่หนทาง การฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง และการยุยงให้เกิดความโกลาหลไม่ใช่ทางออก 

ตรงกันข้าม วิธีที่ดีที่สุดคือให้ผู้นํารุ่นใหม่ใน BRN คว้าโอกาสผ่านความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย และความเต็มใจของมาเลเซียในการไกล่เกลี่ย เพื่อให้เกิดสันติสุขในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 

ควรสังเกตว่าสิ่งที่ กลุ่ม BRN ทำมาจนถึงตอนนี้ ชี้ให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น มีแต่สถานการณ์แย่ลง และรัฐบาลไทยจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ส่งสัญญาณใด ที่จะดำเนินการต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อํานวยความสะดวก 

รัฐบาลไทยไม่ใช่ว่าไม่ต้องการพูดคุย แต่พวกเขาเลือกที่จะระมัดระวัง เพราะถึงแม้จะมีการพูดคุยเพื่อสันติสุข แต่การก่อเหตุรุนแรงก็ยังคงดำเนินต่อไป แล้วทําไมกระบวนการนี้ถึงถูกจัดขึ้นหากมันไร้ประโยชน์ 

\"\"

ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธว่ากลุ่ม BRN มีเจตนาอันสูงส่งที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่แต่แนวทางที่นํามานั้นผิด! ทําไมไม่ใช้แนวทางเช่นการมีส่วนร่วมในการเมือง เพื่อให้คะแนนเสียงของพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่สามารถถูกส่งผ่านและยอมรับโดยรัฐบาลไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 

สถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างวิกฤต สำหรับกลุ่ม BRN เพราะหากพวกเขายังคงยืนกรานที่จะเลือกเส้นทางความรุนแรงเป็นทางออก ก็มีโอกาสสูงที่รัฐบาลไทยจะปิดประตูสู่การเจรจา และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะสามารถประกาศให้เป็นเขตความขัดแย้งทั้งหมดซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาผ่านการดำเนินการทางทหารเท่านั้น 

มีสัญญาณจากรัฐบาลไทยแล้วว่า จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้คนใหม่ คําถามคือพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นหรือไม่? ไม่แน่นอน! พวกเขาต้องการอยู่อย่างสงบสุขและทำกิจกรรมประจำวันเพื่อหาเลี้ยงชีพครอบครัว และกำหนดชีวิตที่ดีขึ้นด้วยความพยายามของรัฐบาลไทยเพื่อคนรุ่นหลัง 

ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ BRN จะใช้แนวทางที่ชาญฉลาดกว่าในการต่อสู้ ไม่เพียงแต่พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลไทย แต่ยังกัดกร่อนการรับรู้เกี่ยวกับมาเลเซียด้วย 

เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียได้แสดงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะนําสันติสุขมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการอาสาเป็นผู้อํานวยความสะดวก 

ควรสังเกตว่า การมีส่วนร่วมของรัฐบาลมาเลเซียในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และได้สนับสนุนและให้การช่วยเหลือเงินหลายล้านริงกิตในการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ 2010 (มาเลเซีย) ที่นําโดยอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองกลาโหม พลโท Tan Sri Wan Abu Bakar Omarที่ล่วงลับไปแล้ว 

หน่วยเฉพาะกิจนี้ ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมกันของหน่วยงานประสานงานระหว่างรัฐบาลมาเลเซียกับรัฐบาลไทยในห้วงเดือนมกราคม 2550 มีจุดประสงค์เพื่อนําสันติสุขกลับมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา 

การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจนี้เกิดขึ้นจากการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น Tun Abdullah Ahmad Badawi และพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ต้องการคืนความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

คณะทำงานหน่วยเฉพาะกิจ คือ การดำเนินโครงการขับเคลื่อนงานการพัฒนามนุษย์โดยการฝึกอบรมเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ในด้านเทคนิคและการพยาบาล เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพ พร้อมกับปฏิเสธวัฒนธรรมความรุนแรงของ BRN 

ดังนั้น BRN ควรหาวิธีดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยมุสลิม แทนที่จะทำการโจมตีด้วยระเบิดและสังหารผู้คนในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว 

ในขณะนี้ รัฐบาลมาเลเซียดูเหมือนจะยังคงอดทนกับพฤติกรรมของ BRN ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทําไมนายกรัฐมนตรีจึงยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยปรองดอง เพื่อช่วยให้เกิดสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 

แต่ความอดทนของรัฐบาลมาเลเซียย่อมมีขีดจำกัด หากวันใดรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจไม่ขอมีส่วนร่วมในกระบวนการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ BRN จะเป็นผู้แบกรับผลที่ตามมาหรือไม่? เพราะมันไร้ประโยชน์หากน้ำผึ้งที่ได้รับถูกตอบแทนด้วยยาพิษ  

หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียแสดงความเข้มงวดด้วยการปิดท่าข้ามผิดกฎหมาย 128 แห่งตลอดแนวลำแม่น้ำโกลก รวมถึงการทำการกวาดล้างสถานที่พักพิงของ BRN ตลอดแนวชายแดนไทยมาเลเซีย 

ทั้งนี้รัฐบาลมาเลเซียอาจกำหนดเงื่อนไขกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ต้องการเข้าประเทศมาเลเซีย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลเสียต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งในแง่ของการดำเนินชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจและสังคม และท้ายที่สุดก็จะเกลียดชัด BRN  

BRN ควรโทษตัวเอง หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะรัฐบาลไทยไม่มีวาระที่จะยุยงให้ประชาชนเกลียดชัง BRN แต่พฤติกรรมของ BRN ที่เลือกใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRN  

สรุปได้ว่า อนาคตของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้อยู่ในมือของผู้นํา BRN รุ่นอาวุโสเพียงไม่กี่คน แต่อยู่ในมือของผู้นํา BRN รุ่นเยาว์และคนหนุ่มสาวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

พวกเขาควรลุกขึ้นต่อสู้เพื่อชะตากรรมของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วยวิถีทางที่มีอารยธรรมมากขึ้น ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศไทย โดยปฏิเสธแนวทางที่รุนแรงของ BRN และการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ของนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชเช่น นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ 

เยาวชนในพื้นที่ ควรทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย เพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่ออนาคตของลูกหลานโดยทิ้งการต่อสู้นองเลือดที่กลายเป็นจารึกของประวัติศาสตร์ในอดีตและพิสูจน์แล้วว่าไร้ประโยชน์ 

สำหรับผู้นํา BRN ผู้เขียนเชื่อว่า พวกเขามีเจตนาดีที่จะเห็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่สงบสุขและเงียบสงบ แต่บางทีอาจจะแปดเปื้อนด้วยความวุ่นวายของผลประโยชน์ส่วนตัว หวังว่าจะมีแสงสว่างแห่งการเปลี่ยนใจ เลื่อมใสในหัวใจของพวกเขาเพื่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อยู่กันอย่างสันติสุขอย่างแท้จริง..

////////////

https://utusantv.com/2025/02/13/brn-jangan-sia-siakan-keikhlasan-malaysia-komitmen-pemerintah-thailand/?utm_source=whatsapp&utm_medium=social-media&utm_campaign=addtoany