ม.หอการค้าไทย เปิดเวทีเสวนาวิชาการ \”พลวัตเศรษฐกิจดิจิทัล: ความเสี่ยง และโอกาสทางธุรกิจฯ\”

ม.หอการค้าไทย เปิดเวทีเสวนาวิชาการ \”พลวัตเศรษฐกิจดิจิทัล: ความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจฯ\”

กรุงเทพฯ – (13 ก.พ. 2568) ที่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ พลวัตเศรษฐกิจดิจิทัล: ความเสี่ยง และโอกาสทางธุรกิจ ตลาดแรงงาน ความสามารถในการแข่งขันและความเป็นธรรม จัดโดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

          รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน การค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) ได้กล่าวถึงข้อมูลผลสำรวจความคิดเห็นของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) และ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะแย่ลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดย่อย การเตรียมการปรับตัวต่อเศรษฐกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในระดับต่ำ เนื่องจากไม่ตระหนักถึงความสำคัญว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่มีเงินทุนสำหรับลงทุน บางส่วนขาดสภาพคล่องทางการเงิน ปัจจัยที่ผู้ประกอบการคิดว่ามีผลกระทบต่อการลงทุนในปี 2568 มากเป็น 3 อันดับแรก คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และเสถียรภาพทางการเมือง

ส่วนของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ มองไปในทิศทางเดียวกันว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ 2.5-3% ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนมากนัก อัตราดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงินยังสูงสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจที่มีโครงสร้างทางการเงินอ่อนแอ มีสัดส่วนหนี้สินสูงเมื่อเทียบกับทุน ความวิตกกังวลต่อปัจจัยเหล่านี้มีทิศทางดีขึ้นในกิจการที่มีการฟื้นตัว เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคเกษตรกรรมและอาหาร เป็นต้น

ทั้งนี้ การไม่เตรียมพร้อมของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ภาครัฐการ ภาควิชาการและภาคแรงงาน จะทำให้ประเทศไทยโดยรวมสูญเสียโอกาสและตกขบวนของการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากติดกับดักรายได้ระดับปานกลางมาหลายทศวรรษ แต่สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่หรือบรรษัทข้ามชาติของไทย ที่น่าห่วง คือ SMEs ภาควิชาการและภาคแรงงาน ที่ทำให้เกิดปัญหาสะสมทั้งในมิติความสามารถในการแข่งขันและความเป็นธรรม ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยีโดยเฉพาะเอไอจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศรวมทั้งไทยด้วย

          พลวัตเศรษฐกิจดิจิทัลเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2568-2570 จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดมากกว่าเดิมภายใต้การแข่งขันทางเทคโนโลยีของกลุ่ม G-8 โดยเฉพาะระหว่างสองมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาและจีน ห่วงโซ่อุปทาน ภาคการผลิตและการบริการเทคโนโลยีชั้นสูงจะมีการแยกส่วนมากขึ้นจากการกีดกันและการแข่งขันกัน ทั้งที่การบูรณาการจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นผลดีต่อคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติโดยรวมมากกว่า ในปี 2568 มีพลวัตเทคโนโลยีหลายอย่างต้องติดตามเป็นพิเศษและจะมีบทบาทต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป ได้แก่ Agentic AI (Multimodal AI), Synthetic Media,   Extended Reality เป็นต้น

          ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วง 3 ปีข้างหน้า พ.ศ. 2568-2570 ที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องระบบเศรษฐกิจ ตลาดแรงงาน ระบบการศึกษา ระบบกำกับดูแลและกฎหมาย ได้แก่ 1. กลุ่มความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรถยนต์และการขนส่งคมนาคม รถยนต์ EV รถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์บินได้ รถไฟไฮเปอร์ลูปโดยแคปซูลลอยตัวเหนือรางด้วยพลังแม่เหล็กไฟฟ้า (อาจเป็นระบบขนส่งทางรางที่มีความเร็วมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) อย่างไรก็ตาม บริษัท Hyperloop One สตาร์ทอัพเจ้าแรกที่นำเสนอแนวคิดระบบรางแห่งอนาคตได้ปิดกิจการไปและ “ทรัพย์สินทางปัญญา” ได้ถูกโอนย้ายไปยัง DP World บริษัทขนส่งที่รัฐบาลดูไบถือหุ้นใหญ่  2. Distributed Web-based System ระบบเว็บแบบกระจายศูนย์ เทคโนโลยีนี้จะลดอำนาจผูกขาดทางด้านข้อมูลจากระบบเว็บรวมศูนย์ (Centralized Web-based System) และ สร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจและเศรษฐกิจ รวมทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน การติดต่อสื่อสารแบบสื่อสังคมออนไลน์จะเปลี่ยนแปลงไป พัฒนาการทางเทคโนโลยีในส่วนนี้เกิดจากเทคโนโลยีบล็อคเชน เทคโนโลยีบล็อคเชนเป็นพื้นฐานของการทำงานที่ทำให้เกิดการเงินแบบกระจายศูนย์ (Defi-Finance) ซึ่งจะแตกต่างจากระบบธนาคารแบบดั้งเดิม เช่น อีเธอเรียม บิทคอย เป็นต้น

 

\"\"

การเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการเงิน เทคโนโลยียานยนต์ เทคโนโลยีเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก เทคโนโลยีเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนและโทรคมนาคม ในไทย จะเป็นเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการและตลาดแรงงานมากที่สุด ผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้ต่อการเปลี่ยนแปลง และ ลงทุนได้อย่างเหมาะสม จะมีผลิตภาพและผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะยาวโดยอาศัยแรงงานมนุษย์ โดยผู้ประกอบการมากกว่า 70% ยังไม่มีแผนการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ในปี 2568 แต่ผู้ประกอบการบางส่วนมีแนวโน้มลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะภาคการค้าระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยว เหตุผลสำคัญที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ตัดสินใจไม่ลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ในปี 2568 ได้แก่ ไม่มีแผนเปลี่ยนแปลงการใช้เทคโนโลยี

ส่วนผู้ประกอบการขนาดย่อยให้เหตุผลว่าขาดเงินทุนและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2568 ยังเป็นเรื่องเดิมๆ บางเรื่องอาจจะเพิ่มมากขึ้นหากประเทศไหนไม่เตรียมการหรือละเลย เช่น Data Privacy ความเสี่ยงจากการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น Ethical Issues ความเสี่ยงทางด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ เรื่องนี้อาจปรับเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ จากการผ่อนคลายกฎระเบียบของรัฐบาลทรัมป์  AI Governance การกำกับควบคุม ระบบกฎหมายที่เหมาะสมมีความสำคัญเพิ่มขึ้น Cybersecurity ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จะเป็นประเด็นอ่อนไหวและถูกนำมาใช้ต่อสู้กันในความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจและการทหารมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางที่มี Good Governance ในการกำกับ

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ได้วิเคราะห์ถึง ประเทศและสังคมที่มีการเตรียมพร้อมที่ดี จะได้รับโอกาสมหาศาลจากเศรษฐกิจดิจิทัล ความก้าวหน้าเทคโนโลยีโดยเฉพาะ ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ โดยโอกาส ความเสี่ยงและความวิตกกังวลจากระบบเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วฉับพลันและผันผวนเกิดขึ้นตลอดเวลา การบริหารความเสี่ยงและความเร็วในปรับตัวต่อพลวัตเป็นเรื่องสำคัญ ความเสี่ยงและความวิตกกังวลในอนาคตที่มีพลวัตสูงและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนกระทั่งต่อมีผลต่อกิจการ การดำเนินชีวิตและพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วย่อมได้รับผลกระทบอย่างมาก ขณะที่ผู้ที่สามารถปรับตัวได้ และ สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ Generative AI จะเกิดโอกาสอย่างมากในทางธุรกิจ สร้างงานใหม่ สร้างนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นมากมายและเปลี่ยนแปลงสังคมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้ดีขึ้น ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างมหาศาล พร้อมกับความเหลื่อมล้ำของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่จะพร้อมขึ้นอย่างมากหากไม่มีการกฎระเบียบหรือระบบภาษีที่เท่าทันต่อพลวัตเหล่านี้