แห่นำชุดนักเรียนไปแก้เพราะลูกหลายคนต้องประหยัด

ร้านรับซ่อมเสื้อผ้านำชุดนักเรียนไปแก้เพื่อผู้ปกครองแห่ไปร้านความประหยัดเพราะบางครอบครัวมีลูกหลายคนส่วนร้านขายชุดนักเรียนคึกคักจนร้านแน่นทุกวันเนื่องจากไกล้เปิดเทอมแล้วเจ้าของร้านเผยปีนี้ชุดนักเรียนนั้นขึ้นราคาตัวละ 5 บาทแต่ยังคงปักชื่อฟรี

เวลา 08.00 น.วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจร้านรับซ่อมแซมเสื้อผ้าของนางสุธิวรรณ มานะเสถียร์ อายุ 65 ปี ตั้งอยู่ที่ ถนนเปรมประชา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี โดยเปิดเผยว่าในตอนนี้บรรดาผู้ปกครองนั้นนำชุดนักเรียนมาให้แก้ไซค์ของชุดกันเยอะมากกว่า 200 ตัวแล้วในตอนนี้และส่วนใหญ่ผู้ที่นำชุดมาแก้นั้นจะเป็นครอบครัวที่มีลูกเยอะ โดยนำชุดของพี่ที่เลื่อนชั้นไปแล้วมาแก้ให้น้องใส่เพื่อที่ต้องการประหยัดกันนั่นเองจะได้ไม่ต้องไปซื้อชุดใหม่กันเนื่องจากในช่วงเปิดเทอมต้องใช้เงินกันเยอะมาก โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นลูกค้าประจำที่ใช้บริการกันมาตลอด ซึ่งในตอนนี้นั้นต้องเร่งงานเพื่อให้ทันเปิดเรียนกันโดยมีสามีมาช่วยเย็บจักรทั้งกลางวันและกลางคืนโดยราคาที่รับแก้ไซส์กระโปรงนักเรียนหรือแก้เอวก็คิดตัวละ 40 บาท เท่านั้น ส่วนกางเกงก็ราคาเดียวกันแต่ถ้าหากแก้ทั้งตัวก็ราคาจะสูงขึ้นไปแต่อย่างไรก็ไม่เกิน 100 บาทดีกว่าไปซื้อใหม่ซึ่งราคา 200 กว่าขึ้นไปแล้ว

\"\" \"\" \"\"

ขณะเดียวกันที่ร้านที่ร้านกนกวรรณ บูติค ตั้งอยู่ที่ท่ารถ บขส.อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี เป็นร้านขายชุดนักเรียนและชุดเครื่องแบบข้าราชการบรรดาผู้ปกครองพาลูกมากันจนแน่นร้านเพื่อมาลองชุดนักเรียนและรองเท้านักเรียนให้พอดีกับตัว โดยทางนางสาววนิดา บุญวรนุช เจ้าของร้านบอกว่าในปีนี้ราคาชุดนักเรียนขยับขึ้นมาตัวละ 5 บาท ยกตัวอย่างเช่นเสื้อนักเรียนหญิงจากเดิมตัวละ 250 บาทก็ขึ้นเป็น 255 บาท ซึ่งทางโรงงานที่ตัดชุดมาส่งนั้นบอกเหตุผลว่าในตอนนี้ข้าวของและอุปกรณ์ที่นำมาตัดชุดนักเรียนแพงมากขึ้นมากจึงขยับราคาขึ้นมา ซึ่งทางผู้ปกครองก็เข้าใจเพราะราคานั้นไม่ขึ้นเยอะมาก โดยช่วงตั้งแต่กลางเดือนเมษายนมาถึงเดือนพฤษภาคม ร้านนั้นก็คนแน่นทุกวันเพราะไกล้เปิดเทอมแล้วซึ่งจะเปิดพร้อมกันในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 จึงต้องมาซื้อชุดให้พร้อมก่อนที่ลูกจะไปเรียนกันนั่นเองและที่ร้านยังคงปักชื่อของนักเรียนและสถานศึกษาให้ฟรีเช่นเดิมเพื่อเป็นการช่วยเหลือกันไป โดยนับว่าปีนี้ชุดนักเรียนนั้นขายดีคึกคักทุกวันเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าบางครอบครัวจะมีเงินน้อยแต่เพื่อลูกก็ต้องหาหยิบยืมหรือไม่ก็ต้องหาหยิบยืมญาติหรือนำของที่มีมูลค่าไปโรงรับจำนำกันเพื่อนำเงินมาหมุนซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนกันเพื่อให้ลูกนั้นได้เรียนต่อ ส่วนชุดลูกเสือกับชุดเนตรนารีนั้นผู้ปกครองบางคนนั้นไม่รู้ว่าทางกระทรวงศึกษานั้นประกาศว่าไม่ต้องใส่ในวิชาเรียนเนื่องจากต้องการให้ทางผู้ปกครองนั้นลดค่าครองชีพลง แต่ก็ซื้อไปแล้วก็มีผลกระทบต้องเพิ่มเงินซื้อชุดกันแต่ก็บอกว่าบ่นไปก็เท่านั้นเพราะอย่างไรก็ซื้อมาแล้วคิดเสียว่าภาคเรียนต่อไปก็คงจะต้องได้ใส่ ส่วนร้านขายชุดนั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกันเพราะมีชุดดังกล่าวไว้เพื่อจำหน่ายอยู่แต่ก็ต้องทำใจยอบรับถึงแม้จะขายไม่ได้ สำหรับชุดลูกเสือกับชุดเนตรนารีแต่ก็ยังขายชุดนักเรียนได้นั่นเอง