แล้งส่งผลกระทบฝูงควายเกษตรกรต้องต้อนฝูงควายออกจากคอกไกลกว่าเดิมเพื่อหาหญ้าหรือตอซังข้าวกินในท้องทุ่งนา เสี่ยงเป็นโรคขาดสารอาหารเพราะควายเริ่มซูบผอมลง
เวลา 09.30 น.วันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่บ้านทุ่งกฐิน ตำบลทุ่งนาไทย อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี สถานการณ์แล้งนั้นมาเร็วจนเกษตรผู้เลี้ยงควายนั้นแทบตั้งตัวไม่ทัน ท้องทุ่งนามองไปทางไหนก็มีแต่ความแห้งแล้งผืนดินแตกระแหง ต้นไม้และหญ้าที่ขึ้นอยู่ในนาข้าวนั้นตายกันหมดโดนแดดเผา โดยในตอนนี้ชาวนาในหมู่บ้านดังกล่าวต้องหยุดทำนาหรือการเกษตรเนื่องจากน้ำนั้นไม่เพียงพอที่จะทำ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ของบ้านทุ่งกฐินแห่งนี้นอกจากจะทำนาแล้วยังเลี้ยงควายอีกกันเยอะมาก ซึ่งในตอนนี้ต้องต้อนฝูงควายออกจากคอกแล้วเดินไปหาพื้นที่นาข้าวที่ยังเขียวขจีหรือมีตอซังข้าวหรือหญ้าที่ขึ้นอยู่ในนาข้าว แต่ด้วยควายนั้นต้องกินอาหารทุกวันในตอนนี้พื้นที่นาข้าวก็แทบจะไม่เหลือซังตอข้าวหรือหญ้าแล้วซึ่งเหลือน้อยมากแล้ว และหากไม่มีอาหารก็จำต้องต้อนฝูงควายไปไกลกว่าเดิมเรื่อยๆเพราะเกรงว่าควายนั้นจะซูบผอมลงกว่าเดิมนั่นเอง
ขณะเดียวกันที่บ้านโคกโค ตำบลทุ่งนาไทย อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ก็เช่นกันฝูงควายกว่า 50 ตัวมีทั้งลูกควายที่เกิดใหม่หลายตัว ก็จำต้องต้อนฝูงควายเพื่อหาแหล่งอาหารที่อยู่ตามท้องทุ่งนาเช่นกันโดยแหล่งอาหารนั้นก็เหลือน้อยเต็มทีเพราะผู้ที่เลี้ยงควายนั้นต่างก็ต้องนำฝูงควายมากินหญ้าซึ่งก็เหมือนเป็นการแย่งแหล่งอาหารตามธรรมชาติกันอีกด้วย โดยผู้ที่เลี้ยงควายมาเจอกับสภาพแล้งแบบนี้สิ่งที่หลักเลี่ยงไม่ได้นั้นต้องเจอกับโรคควายขาดสารอาหารและจะผอมลงเรื่อยๆ ซึ่งเจ้าของควายก็ภาวนาขอให้ฝนตกลงมาบ้างเพื่อให้หญ้าตามท้องทุ่งขึ้นหรือแตกมาใหม่ แค่เดือนมีนาคมยังแล้งขนาดนี้ซึ่งในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม จะโดนผลกระทบมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน ผู้เลี้ยงควายหวั่นว่าหากฝนไม่ตกก็จำเป็นจะต้องหาฝางข้าวมากักตุนไว้อย่างน้อยก็ป้องกันควายอดอยากถึงแม้ว่าฝางข้าวนั้นจะเป็นอาหารของควายที่หาได้ง่ายแต่ก็ไม่เหมือนหญ้าซึ่งมีวิตามินหรือสารอาหารครบและมากกว่าฝางจะทำให้ควายนั้นอ้วนขึ้นหากขายก็ได้ราคาอีกด้วย