ตรัง \”ข้าวพื้นเมืองตรังคืนถิ่น นำเมล็ดพันธุ์หายไปกว่า 40 ปี กลับสู่แปลงนา สืบสานมรดกข้าวไทย

ตรัง-นำเมล็ดพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่หายสาบสูญไปประมาณ 40 ปี หลังชาวบ้านเลิกทำนา สู่แปลงนาคืนสายพันธุ์สู่ชุมชนถิ่นกำเนิด รวม10 สายพันธุ์

ที่บริเวณทุ่งนาหนองยายลาย หมู่ที่ 5 ต.นาพละ อ.เมือง จ.ตรัง คณะทำงานพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขีวมาพจังหวัดตรัง ร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรผู้ที่ยังคงอนุรักษ์การทำนาจากหลายพื้นที่ของจ.ตรัง, ศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง ศูนย์วิจัยข้าวปัตตานี กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว ,ศูนย์ปฏิบัติการและเก็บเมล็ดเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ (ยีนส์แบงค์) ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี กรมการข้าว, นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย, นักเรียนจากหลายโรงเรียนในพื้นที่จ.ตรัง , คณะสงฆ์ และชาวบ้านตำบลนาพละ รวมกว่า 100 คน ร่วมกันลงแขกเกี่ยวข้าวพันธุ์พื้นเมืองจ.ตรังที่เคยหายสาบสูญไปจากการเลิกทำนาของเกษตรกรจ.ตรัง จำนวน 10 สายพันธุ์ ตามกิจกรรม..เก็บข้าวเก็บรักสานพลังนโยบายขับเคลื่อนตรังความมั่นคงทางอาหาร“มีข้าวไม่อด” ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวตรังคืนถิ่นโดยได้เมล็ดพันธุ์จากธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ ได้แก่ ข้าวเบาขี้ควาย ข้าวลูกปลา ข้าวนางกอง ข้าวเล็บนกไร่ ข้าวเบาหอม ข้าวลูกหวาย ข้าวหนุนห้อง ข้าวหอยสังข์ ข้าวสายบัว และข้าวเบายอดม่วงตรัง ซึ่งปัจจุบันเป็นข้าวอัตลักษณ์สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ โดยนำมาปลูกตามโครงการการใช้ประโยชน์เชื้อพันธุ์ข้าวจากธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ โดยเกษตรกรมีส่วนร่วม ทั้งนี้ ในการเก็บเกี่ยว ก็ใช้แกระเกี่ยวข้าว ซึ่งเป็นวิธีการเกี่ยวข้าวแบบดั้งเดิมของชาวนาภาคใต้ในอดีต เพื่อให้เด็กๆเยาวชนได้ศึกษาเรียนรู้วิถีการทำนาแบบสมัยโบราณ โดยสายพันธุ์ข้าวทั้ง 10 สายพันธุ์นี้ อดีตเคยเป็นสายพันธุ์ข้าวที่ชาวบ้านในตำบลต่างๆของจ.ตรังนิยมปลูก แต่ได้หายสาบสูญไปไม่ต่ำกว่า 40 ปี นับตั้งแต่ชาวบ้านส่วนใหญ่เลิกทำนา หันซื้อข้าว แต่โชคดีที่นักวิชาการเกษตรสมัยนั้นได้เก็บเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวเหล่านี้ไปไว้ที่ธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ (ศูนย์ปฏิบัติการและเก็บเมล็ดเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ หรือยีนส์แบงค์ ) จึงนำมาปลูกเพื่อส่งคืนกลับถิ่นกำเนิด ทั้งนี้ ในการปลูกแยกชนิดพันธุ์ข้าวออกเป็นแปลงๆ และในการเกี่ยวข้าวก็จะแยกเก็บแต่ละสายพันธุ์ และมอบให้เกษตรกรเพื่อนำไปปลูกขยายพันธุ์ในถิ่นเดิมต่อไป เช่น พันธุ์ข้าวหนุนห้อง ชื่อเป็นมงคลเป็นข้าวสายพันธุ์ที่คนลุ่มน้ำปะเหลียนเคยปลูก ส่งมอบให้เกษตรกรพื้นที่อ.ปะเหลียน,อ.ย่านตาขาว, อ.หาดสำราญ, ข้าวสายพันธุ์เบาขี้ควาย เป็นข้าวประจำถิ่นของชาวบ้านโคกสะบ้า อ.นาโยง นำกลับคืนไปปลูกต่อ, ข้าวพันธุ์สายบัว ข้าวประจำถิ่น ต.นาข้าวเสีย อ.นาโยง ,ข้าวเบายอดม่วง คืนชาวบ้านตำบลนาพละ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าวทุกสายพันธุ์ก็มีการเลื่อนไหลไปปลูกในถิ่นตำบลอื่นๆด้วย เมื่อชาวบ้านเห็นว่าข้าวชนิดไหนให้ผลผลิตดี ซึ่งทั้ง 10 สายพันธุ์นี้ เป็นพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงประมาณ 500-600 กก.ต่อไร่ บางสายพันธุ์ได้เป็น 1,000 กก.

ทางด้านเด็กๆนักเรียนจากโรงเรียนต้น   บากราษฏร์บำรุง ต.นาพละ บอกว่า ดีใจที่ได้มาร่วมกิจกรรมที่บ้านไม่ได้ทำนา แต่ได้มาเรียนรู้วิถีการทำนาสมัยโบราณ ได้เรียนรู้ที่มาของข้าวว่ามีความยากลำบากกว่าจะได้ข้าวกิน และในปีต่อไปก็อยากมาร่วมอีก

\"\"

ทางด้านคุณยายแดง แจ้งวัง อายุกว่า 73 ปี ชาวต.บ้าหวี อ.หาดสำราญ ซึ่งสุขภาพยังแข็งแรงมาก บอกว่า ในอดีตก็ช่วย พ่อ แม่ ยาย ทำนามาโดยตลอด แต่ได้เลิกทำไปเมื่อตอนที่ตนเองอายุได้ประมาณ 40 ปี ตอนนั้นชาวบ้านหยุดทำกันหมดแล้ว ไม่มีรถไถนา ไม่มีโรงสี ตนเองจึงหยุดด้วย หยุดเป็นคนสุดท้าย มาตอนนี้อยากจะทำอีก แต่ก็ทำไม่ไหวแล้ว เพราะอายุมาก แต่ดีใจที่ได้มาร่วมกิจกรรมเก็บข้าว

\"\"

นางกุหลาบ หนูเริก  ประธานวิสาหกิจชุมนาข้าวแปลงใหญ่ตำบลนาพละ บอกว่า ในพื้นที่ต.นาพละ ตอนนี้ยังมีพื้นที่ทำนาเหลือประมาณ 889 ไร่ สมาชิกทั้งหมด 111 ราย การจัดกิจกรรมและการนำเมล็ดพันธุ์ข้าวคืนถิ่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้วิถีการทำนาของบรรพบุรุษปู่ย่าตายตั้งแต่ดั้งเดิม ทำให้คนตรังได้รู้ว่าจ.ตรังมีข้าวพื้นถิ่นจำนวนมาก แต่ในปีนี้มีการนำมาปลูกในแปลงทดลองรวม 10 สายพันธุ์ เพื่อแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้าน เดิมข้าวเหล่านี้กระจายอยู่ประจำตำบลต่างๆในจ.ตรัง แต่ตอนหลังหายไป หากเราไม่อนุรักษ์ไว้ปล่อยให้สูญหายไปลูกหลานจะไม่รู้จักข้าวพื้นเมืองเหล่านี้อีกต่อไป ซึ่งข้าวทุกสายพันธุ์นี้ให้ผลผลิตสูงต่อไร่ประมาณ 500-600 กก.ต่อไร่ เก็บเกี่ยวแล้วก็แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ให้กับชาวบ้านจะนำกลับไปปลูกในพื้นถิ่นต่างๆต่อไป

\"\"

นายสำราญ สมาธิ (เสื้อสีม่วง) ครูโรงเรียนต้นบากราษฎร์บำรุง คณะทำงานวิชาการความมั่นคงทางอาหาร “ข้าว” สมัชชาสุขภาพจ.ตรัง บอกว่า ร่วมกับศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง และธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ และชาวบ้านในชุมชนต่างๆ เนื้อที่นี้ประมาณ 3 ไร่ เป็นการคัดเลือกข้าวสายพันธุ์ดั้งเดิมของจังหวัดตรังที่เคยมีในสมัยโบราณ ซึ่งจริงๆมีหลายชนิดแต่ได้คัดเลือกกันแล้วเหลือ 10 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นการปลูกเพื่ออนุรักษ์พันธุกรรมพืชและกระจายพันธุ์ไปสู่ชุมชน โดยพันธุ์ข้าวดั้งเดิมเหล่านี้ไม่มีการปลูกแล้ว นับตังแต่เริ่มมีรถเกี่ยวข้าวเข้ามา และมีข้าวสายพันธุ์เข้ามาปลูก ชาวบ้านก็เลิกทำนา ข้าวพันธุ์เหล่านี้ก็สูญหายไปจากจังหวัดตรัง และไปนอนอยู่ในยีนส์แบงค์นานถึง 40 ปี จึงนำเมล็ดมาปลูกใหม่ เพื่อข้าวคืนถิ่นมาเป็นปีที่ 3 แล้ว เพื่อกระจายเมล็ดพันธุ์กลับคืนไปให้ชุมชนต่างๆ ที่เคยเป็นถิ่นปลูกข้าวสายพันธุ์นั้นๆ ไม่ให้สูญหายไปอีก นอกจากเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นถิ่นแล้ว ยังเป็นการเดินหน้ายกระดับพัฒนาสายพันธุ์ข้าวชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ หลังจากข้าวเหล่านี้หายไปจากพื้นที่ และได้นำกลับมาปลูกใหม่ก็พบว่า ผลิตออกมาดี มีคุณภาพทั้งความสมบูรณ์แข็งแรงของต้น เข้ากับสภาพอากาศแบบจ.ตรัง ให้ผลผลิตสูง บางสายพันธ์ได้ผลผลิตสูงนับตันต่อไร่

\"\"

ทางด้านนายชลวิทย์ แก้วนางโอ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวปัตตานี บอกว่า ในอดีตพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่ภาคใต้มีเป็นจำนวนมาก ต้องยกความดีให้กับนักวิชาการในสมัยนั้น ด้วยวิสัยทัศน์ของนักวิชาการสมัยนั้นมองเห็นแล้วว่าเริ่มมีข้าวพันธุ์ใหม่สายพันธุ์ผสม หรือที่รู้จักกันในนามข้าว กข. เข้ามาปลูกมากขึ้นในพื้นที่ก็เกรงว่าพันธุกรรมข้าวพื้นเมืองที่เราเคยปลูกอยู่ตั้งแต่ในอดีตมันจะสูญหายไป ได้มีแนวคิดที่จะเก็บเชื้อพันธุกรรมแต่ละสายพันธุ์ไปเก็บเอาไว้ในศูนย์ปฏิบัติการและเก็บเมล็ดเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ (ยีนส์แบงค์) ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี กรมการข้าว วันเวลาผ่านไปก็พันธุกรรมเข้าพันธุ์พื้นเมืองในจังหวัดตรังก็เริ่มเหลือน้อยลง รวมถึงสายพันธุ์อื่นในภาคใต้ด้วย ในฐานะที่ทำงานกับเกษตรกรในพื้นที่ก็เลยมีแนวคิดส่วนตัวอยากได้ข้าวพันธุ์ที่เคยปลูกไว้ในอดีตที่สูญหายไปแล้วกลับคืนมา จึงทำโครงการใช้ประโยชน์จากเชื้อพันธุกรรมข้าวจากธนาคารเชื้อพันธุ์ โดยเกษตรกรมีส่วนร่วม และส่งกลับคืนมาให้กับชาวบ้านเลือกเมื่อประมาณ 4 ปีมาแล้ว โดยปีแรกปลูกทั้งหมด 24 สายพันธุ์ ก็คัดเลือกมาทุกปี จนล่าสุดปีนี้เหลือ 10 สายพันธุ์ และชาวบ้านได้นำเมล็ดไปขยายพันธุ์ต่อไป ซึ่งในระยะต่อไปหรือปีต่อไปที่กรมการข้าวจะลงไปดำเนินการต่อยอดในชุมชน และจะต่อยอดไปถึงเรื่องของการแปรรูป และการเพิ่มมูลค่าด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในภาคใต้มีพื้นที่ทำนาสูงถึง 2,000,000 ไร่ ตอนนี้ทั่วภาคใต้เหลือเพียงประมาณ 500,000 ไร่ มากสุดคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช รองลงมาสงขลา และพัทลุง พื้นที่นาที่เสียไปนั้น สูญเสียด้วยหลายเหตุผล ซึ่งภาคใต้ดินดี น้ำดี อากาศดี ความชื้นถึง เหมาะสำหรับการปลูกพืชที่หลากหลาย เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมันหรือไม้เศรษฐกิจต่างๆ ช่วงหลังก็เปลี่ยนนามาเป็นสวนทุเรียนก็เยอะ ขณะที่คนที่ปลูกข้าวเชิงพาณิชน์ ก็สู้ต้นทุนไม่ไหว และข้าวราคา ตอนนี้หากไถเฉลี่ยตกไร่ละเกือบ 1,500 บาท ค่าดูแลรักษาค่าซื้อปุ๋ยค่าสารเคมีค่าเก็บเกี่ยวอื่นๆ อีกต้นทุนอยู่ที่ประมาณไร่ละ 3,000 -4,000 บาทต่อไร่ ถ้าราคาข้าวไม่เอื้ออำนวยก็อาจจะไม่มีแรงดึงดูดมากพอ ซึ่งก็เคยถามชาวบ้านว่าถ้าในกรณีที่ข้าวราคาดี พร้อมจะปรับพื้นที่มาทำนาหรือไม่ ทุกคนบอกว่า พร้อมกลับมาปลูกข้าวได้เหมือนเดิมก็อยู่ที่กลไกของรัฐและส่วนราชการที่จะไปเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้านราคา ขณะที่กรมการข้าวก็พร้อมจะพัฒนาสายพันธุ์ให้ได้ผลผลิตที่ดีต่อไป

\"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\" \"\"