สิ่งแวดล้อม

เพชรบูรณ์-คณะสธ.หล่มสักลงพื้นที่ เยี่ยมประชาชนได้รับผลกระทบจากหมอกควันไฟไหม้บ่อขยะ เวลา 17.00 น. วันที่ 5 พฤษภาคม นายธนัชชัย พลฉวี สาธารณสุขอำเภอหล่มสัก พร้อมคณะ ออกเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันเหตุไฟไหม้บ่อขยะเทศบาลเมืองหล่มสัก เบื้องต้นพบประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ประชาชนโดยรอบกองขยะ เขตตำบลหนองสว่าง อ.หล่มสัก ประมาณ 25 หลังคาเรือน 80 คน, ประชาชนพื้นที่ใกล้เคียงบ่อขยะ เขตหมู่ 1 บ้านนาแค ต.นาแซง อ.หล่มเก่า ประมาณ 40 หลังคาเรือน และบริเวณสถานีวิทยุกระจายเสียง 921 ทั้งนี้ ทางคณะเจ้าหน้าที่ได้แจกหน้ากากอนามัยจำนวน 500 ชิ้นให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลตนเองเบื้องต้น เช่น อยู่ในห้องมิดชิด แจ้งให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดออกจากพื้นที่จำนวน 1 ราย และให้สังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการสูดดมหมอกควัน หากมีอาการสามารถไปพบแพทย์ได้ทันที พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้นำชุมชนให้สื่อสารความเสี่ยงและวิธีป้องกันตนเองผ่านหอกระจายข่าวสารและไลน์หมู่บ้าน  

เพชรบูรณ์-เพลิงไหม้บ่อขยะหล่มสัก คุมเพลิงได้แล้ว กลิ่น-ควัน กระทบ 3 ตำบล วันที่ 5 พฤษภาคม ความคืบหน้าจากเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะ ของเทศบาลเมืองหล่มสัก หมู่ 4 ตำบลหนองสว่าง อำเภอหล่มสักแจ้งว่า ได้รับรายงานจากเทศบาลเมืองหล่มสัก โดยคาดว่าสาเหตุเบื้องต้น เกิดจากการสะสม ของแก๊สมีเทนใต้กองขยะ ที่หมักหมมนานจนเกิดการลุกไหม้ โดยรายงานระบุอีกว่า เหตุการณ์เพลิงไหม้ ได้สร้างกลุ่มควันและฝุ่นละอองฟุ้งกระจายทั่วพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ทั้งระบบทางเดินหายใจและการมองเห็น รวมถึงบดบังทัศนวิสัยบนถนนหล่มสัก–เมืองเลย สาย 21 กิโลเมตรที่ 275 นอกจากนี้ ยังมีกลิ่นเหม็นและควันพิษ ปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ขยะถูกไฟไหม้กว่า 2 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 16 ไร่ โดยบ่อขยะดังกล่าวถูกใช้มาตั้งแต่ปี 2516 ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมหมู่ 4 ตำบลหนองสว่าง, หมู่ 3 ตำบลสักหลง อ.หล่มสัก และตำบลนาแซง อ.หล่มเก่า เทศบาลเมืองหล่มสัก ได้ระดมรถดับเพลิง 18 คัน รถแม็คโคร

เพชรบูรณ์-เพลิงไหม้บ่อขยะหล่มสัก เพลิงลุกโหมควันดำพวยพุ่ง ควบคุมเพลิงยังไม่ได้ เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 5 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุไฟไหม้ภายในบริเวณบ่อทิ้งขยะเทศบาลเมืองหล่มสัก หมู่ที่ 4 ต.หนองสว่าง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยเพลิงลุกโหมไหม้ขยะ ทำให้มีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้สร้างความระทึกใจแก่ผู้พบเห็น ในขณะที่ทางเทศบาลเมืองหล่มสัก ได้ระดมรถดับเพลิงและพนักงานดับเพลิงเข้าฉีดน้ำสกัดเพลิง โดยมีรถดับเพลิงและพนักงานดับเพลิงจากองค์กรท้องถิ่นข้างเคียงรวมทั้งสิ้นเกือบ 10 คัน รวมทั้งอาสาสมัครกู้ภัยสว่างมงคลศรัทธาธรรมฯหล่มสักเข้าช่วยเหลือฉีดน้ำสกัดเพลิงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านไปแล้วราว 1 ชั่วโมง ทางพนักงานดับเพลิงก็ยังควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้ไม่ได้ ขณะเดียวกันจุดเพลิงไหม้ซึ่งอยู่บริเวณกลางบ่อทิ้งขยะ ก็ยังขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ โดยทางพนักงานดับเพลิงพยายามฉีดน้ำเพื่อจะควบคุมเพลิงไว้ให้ได้ ล่าสุดมีรายงานเพิ่มว่า การฉีดน้ำสกัดเพลิงเริ่มสะดุดเนื่องจากรถน้ำไม่เพียงพอ จึงมีการขอสนับสนุนรถบรรทุกน้ำพิ่มเติมจากพื้นที่ข้างเคียงอีกด้วย ทั้งนี้ สำหรับสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้บ่อขยะในครั้งนี้ยังไม่มีรายงานว่าสาเหตุเกิดขึ้นจากอะไร และไม่มีรายงานว่ามีบ้านเรือนราษฎรที่อยู่บริเวณรอบบ่อทิ้งขยะดังกล่าวได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ขอขอบคุณ : กู้ภัยสว่างมงคลศรัทธาธรรมฯหล่มสัก เอื้อเฟื้อคลิป+ภาพ

สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากเกษตกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในอำเภอหนองเสือว่าได้รับผลกระทบจากนายทุนจีนที่มาก่อสร้างโรงงานทำโรงงานแปรรูปทุเรียนและปล่อยน้ำเสียลงคลองสาธารณะและยังส่งกลิ่นเหม็น ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องราวดังกล่าวตามข้อร้องเรียนที่บริเวณคลองแอนแปด หมู่ 3 ต.บึงชำอ้อ อ.หนองเสีอ จ.ปทุมธานี พบว่ามีโรงงานขนาดใหญ่ตั้งติดกับรั้วของชาวบ้านและพื้นที่เกษตรโดยระหว่างนั้นได้มีคนงานของโรงงานได้ขนเศษขยะและเปลือกทุเรียนนำมาทิ้งไว้บริเวณข้างโรงงานกองเป็นจำนวนมาก จากการสอบถามนางสาวอรพิน เนตรรัตนะ บ้านเลขที่ 4/2 ม.3 ต.บึงชำอ้อ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ได้กล่าวว่าโรงงานดังกล่าวได้มาก่อสร้างไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 67 โดยมีการแจ้งว่าเป็นโรงงานไว้เก็บของแต่อยู่มากลายเป็นโรงงานแปรรูปทุเรียนซึ่งส่งกลิ่นเหม็นมากลูกของตนเป็นภูมิแพ้ไม่รู้จะทำอย่างไรต้องปิดบ้านปิดหน้าต่างกันตลอดเวลาอีกทั้งโรงงานแห่งนี้ยังมีการปล่อยน้ำเสียลงคลองส่งผลกระทบต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ตนปลูกอยู่กว่า 50 ไร่ โดยโรงงานแห่งนี้จะนำเศษขยะและเปลือกทุเรียนนำออกมาทิ้งข้างโรงงานซึ่งเป็นพื้นที่ของเขาซื้อไว้แล้วต่อท่อลงมาทางคลองเพื่อระบายน้ำเสียจากกองเศษเปลือกทุเรียนลงสู่คลอง ทั้งนี้เมื่อเดือนตุลาคมปี 67 ที่ผ่านมาก็ได้เกิดเหตุกำแพงรั้วของโรงงานได้มีการสไลด์มาถูกเครื่องสูบน้ำของตนซึ่งตนและชาวบ้านคนอื่นได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของโรงงานทั้งเรื่องปล่อยน้ำเสียเรื่องกลิ่นและกำแพงรั้วที่ทรุดผ่านมา 7 เดือนก็ไม่มีการดำเนินการจึงฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบด้วย ส่วนทางด้านนางพรทิพา เนตรรัตนะ บ้านเลขที่ 4/5 ม.3 ต.บึงชำอ้อ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี กล่าวว่าตนเองมีพื้นที่ทำสวนปาล์มน้ำมันที่ติดกับโรงงานโดยได้รับผลกระทบเหมือนกับนางสาวอรพิน ซึ่งตนก็ยังสงสัยว่าการสร้างโรงงานนั้นต้องมีการทำประชาพิจารณ์กับชาวบ้าน แต่อันนี้ไม่เห็นมีเลยอีกทั้งตอนแรกบอกว่าจะทำเป็นโรงงานเก็บของแต่กลับกลายเป็นโรงงานแปลรูปทุเรียนซึ่งไม่ตรงกับที่แจ้งกับชาวบ้านไว้ ทั้งนี้ตนเป็นเกษตกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่ได้รับผลกระทบจากราคาของปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำยังมาต้องมาเจอปัญหาโรงงานปล่อยน้ำเสียลงคลองทำให้ผลผลิตมีน้อยลงไปอีก จากนั้นสื่อข่าวจึงได้โทรสอบถามนายสุดใจ น้อยสว่าง นายก อบต.บึงชำอ้อ กล่าวว่าจะเร่งเข้าตรวจสอบพร้อมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน จะนำเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ พร้อมพร้อมเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุขเข้าตรวจสอบโรงงานดังกล่าว  

โลกออนไลน์แห่แชร์คลิปน่าทึ่งจากอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เผยภาพฝูงปูเสฉวนจำนวนมากออกหากินริมชายหาดแหลมโตนด อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ในช่วงเวลากลางคืน พร้อมแสดงพฤติกรรม “เปลี่ยนบ้าน” ด้วยการหาเปลือกหอยใหม่ตามขนาดตัว นายชัยพฤกษ์ วีระวงศ์ หัวหน้าอุทยานฯ เผยว่า คลิปนี้บันทึกโดยกล้องที่เจ้าหน้าที่ติดตั้งไว้หน้าที่ทำการอุทยานฯ แสดงให้เห็นการรวมตัวของปูเสฉวนขนาดต่าง ๆ ที่ออกหาอาหารจากซากพืชใบไม้ และบางตัวพยายามหาเปลือกหอยใหม่แทนของเดิมที่คับแคบ แต่หลายตัวต้องผิดหวัง เนื่องจากเปลือกหอยดี ๆ มักมีเจ้าของแล้ว ปูเสฉวนกำลังลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องจากการรบกวนของมนุษย์ โดยเฉพาะการเก็บเปลือกหอยไปเป็นของตกแต่ง ส่งผลให้พวกมันขาด “บ้าน” ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์นี้ อุทยานฯ จึงจัดกิจกรรม “คืนบ้านให้ปูเสฉวน” เชิญชวนประชาชนร่วมส่งคืนเปลือกหอยที่เก็บจากทะเล โดยเจ้าหน้าที่จะนำไปวางบริเวณโคนต้นไม้ตามชายหาด เพื่อให้ปูเสฉวนได้เลือกใช้ ถือเป็นหนึ่งในความพยายามเล็ก ๆ ที่สร้างผลกระทบใหญ่ต่อระบบนิเวศชายฝั่ง

           วันนี้ (30 เมษายน 2568) กระทรวงพลังงาน โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย จัดกิจกรรม “ประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน ปี 2568 : Energy Beyond Standards 2025” ณ หอประชุม Auditorium อาคาร 50 ปี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงานและกล่าวแสดงความยินดีต่อความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เข้าร่วมในกิจกรรม            ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กิจกรรมประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน ปี 2568 : Energy

           ไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อน.. เป็นพลังงานสะอาดอีกประเภทที่ประเทศไทยใช้ประโยชน์มายาวนาน ไม่เพียงเขื่อนขนาดใหญ่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เท่านั้นที่ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ แต่ปัจจุบัน กฟผ. และกรมชลประทาน ได้จับมือกันพัฒนาให้เขื่อนของกรมชลประทานสามารถผลิตไฟฟ้า พลังน้ำด้วย เพื่อร่วมผลักดันส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่เพียงแค่เป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่อีกด้วย            พลังงานสะอาดจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ            โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้า ใช้พลังงานจากน้ำในเขื่อนมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง เป็นไฟฟ้าที่สะอาดและยั่งยืน เพราะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าบริเวณท้ายเขื่อนของกรมชลประทานที่มีอยู่แล้ว และจะผลิตไฟฟ้าต่อเมื่อกรมชลประทานระบายน้ำลงสู่ท้ายน้ำเพื่อประโยชน์ด้านการเกษตรตามแผนการปล่อยน้ำตามปกติของกรมชลประทาน โดยไม่มีผลกระทบต่อการใช้น้ำของประชาชน ชุมชนทั้งเหนือน้ำและท้ายน้ำ เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีราคาผันผวนและมีปริมาณจำกัด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตไฟฟ้า เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศ สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  (Net zero greenhouse