เศรษฐกิจ

           เราอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแท้จริง ข้าวยากหมากแพง กำลังซื้อหาย หนี้ครัวเรือนท่วมหัว ธุรกิจปิดกิจการ นักท่องเที่ยวหาย สงครามการค้า ตลาดหุ้นตกหนัก นักการเมืองเอาแต่ทะเลาะกัน ประชาชนสนใจข่าวไร้สาระมากกว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิต โครงสร้างประชากรลดลง            ถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป จะเกิดเศรษฐกิจแบบ L-shape คือ ตกต่ำยาวนานตลอดกาล            หรืออาจจะเป็น K-shape คือ จะมีบางกลุ่มที่รอดและเติบโต บางกลุ่มพอเอาตัวรอดได้ และบางกลุ่มจมดิ่งหายไปตลอดกาล            ผมมาวิเคราะห์ว่า ประชากร 7 ชนชั้นในประเทศไทย จะเกิดอะไรขึ้น            1. อภิมหาเศรษฐี แทบไม่ได้รับผลกระทบ

           \”จีนไม่ได้เติบโตขึ้นมาเพราะเศรษฐกิจตลาดเสรี แต่เพราะการลักขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การให้เงินอุดหนุนที่ผิดกฎหมาย และการทุ่มตลาด\”            นี่เป็นวาทะอันโด่งดังของ ปีเตอร์ นาวาร์โร บุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะนโยบายกำแพงภาษีและการเผชิญหน้ากับจีน เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในแวดวงเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก แต่ได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญในนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ            แนวคิดหลักของเขาคือการต่อต้านการค้าเสรี โดยเฉพาะกับจีน และการสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ เขาเชื่อว่าสหรัฐฯ ควรใช้กำแพงภาษีเพื่อลดการขาดดุลการค้าและนำการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ จนเกิดนโยบายภาษีใหม่ การจัดระเบียบโลกใหม่ที่สร้างความโกลาหลไปทั่วโลกขณะนี้            นาวาร์โร บอกว่า America First ไม่ได้หมายความว่า America Alone แต่มันหมายถึง “การทำให้มั่นใจว่าความสัมพันธ์ทางการค้าของเราเป็นธรรมและสมดุล\”            \”ประเทศที่ไม่สามารถผลิตสิ่งของได้เองคือประเทศที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

นายบุญชู ศัยศักดิ์พงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ตรังผลิตภัณฑ์อาหารทะเล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งรายใหญ่ของภาคใต้ โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในแถบเอเชีย ร้อยละ 98 คือ ส่งประเทศจีน ญี่ปุ่น และส่งอเมริกา ประมาณร้อยละ 2 ได้บอกถึงผลกระทบที่จะตามมา กรณีสหรัฐอเมริกากำหนดอัตราภาษีนำเข้าใหม่จากประเทศไทยสูงถึง 36 % และประเทศอื่นๆ รวมทั้งจีน 34% ญี่ปุ่น 24% โดยระบุว่า ครั้งนี้ถือว่าอเมริกาแหกกฎการค้าเสรีจะกระทบหนักกันทั่วโลก สำหรับสินค้าอาหารทะเลแช่แข็งของตนเองส่งไปอเมริกาปีละ 10 กว่าตู้ มูลค่าประมาณกว่า 100 ล้านบาท ตลาดใหญ่ส่งไปจีน และญี่ปุ่น ซึ่งสินค้าที่จะส่งไปอเมริกาหลังจากนี้เป็นต้นไป จะโดนภาษีเพิ่มสูงขึ้นอีก 31 % ภาระจริงๆจะตกเป็นของคนอเมริกันที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น ส่วนผลกระทบกับประเทศไทยและภาคอุตสาหกรรมของไทยที่ต้องส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ รวมทั้งประเภทอาหารทะเลแช่แข็ง จะเห็นผลกระทบอย่างหนักในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากว่าจีน ญี่ปุ่น ก็ถูกสหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษีสูงเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่าสินค้าที่เราส่งไปจีน จีนสู้กำแพงภาษีไม่ไหว ก็ต้องทะลักกลับเข้าสู่ตลาดอาเซียนหนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ซึ่งต้นทุนของไทยสู้ต้นทุนของจีนไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้สินค้าจีนก็ทะลักเข้ามาตีตลาดไทยจำนวนมากอยู่แล้ว

           Trump มักจะพูดบ่อยๆ ว่าตัวเองเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ถ้าจะมียกเว้นก็อาจจะมี William McKinley เป็นหนึ่งในนั้น            ถ้าอยากรู้ว่า Trump ชอบ McKinley ขนาดไหน ต้องดูตอนที่เขากลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบนี้ หนึ่งในคำสั่งแรกๆ คือ การเปลี่ยนชื่อภูเขาในอลาสก้าที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือ ที่ Obama เปลี่ยนเป็น “Mt Denali” ให้กลับไปเป็น “Mt McKinley” เพื่อให้เกียรติผู้นำคนโปรด ทั้งที่ McKinley ไม่เคยไปอลาสก้าเลยด้วยซ้ำ            แต่ในสายตา Trump เขาคือ “ฮีโร่ด้านเศรษฐกิจ” ผู้กล้าใช้ภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องประเทศMcKinley คือใคร ?          

          บทเรียนกำแพงภาษีเปลี่ยนโลกสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีโดนัลด์​ ทรัมป์กำลังซ้ำรอยหายนะประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต​ ฮูเวอร์           Smoot-Hawley : บทเรียนจากอดีตที่กำลังจะซ้ำรอยเดิม           ในโลกที่การเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วทุกวัน การกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ อาจช่วยให้เรามองเห็นอนาคตชัดขึ้น           โดยเฉพาะเรื่องของ “ภาษีนำเข้า” หรือ Tariff ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เครื่องมือเศรษฐกิจธรรมดา แต่ในบางครั้งมันกลับกลายเป็นชนวนวิกฤตที่ลากทั้งประเทศ และทั้งโลก ดิ่งสู่ความตกต่ำแบบไม่รู้ตัว           หนึ่งในตัวอย่างที่เจ็บปวดที่สุด คือ Smoot-Hawley Tariff Act ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1930 ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้

           ถ้ายังไม่รีบดำเนินการ ต่อไปไทยจะกลายเป็นประเทศที่ถูกเลือนออกไปจากจอเรดาร์ มาเลเซียและกลุ่มอาเซียนภาคพื้นมหาสมุทรที่โดนอัตราภาษีไม่สูงในอาเซียนเริ่มขยับแล้ว ถ้าไทยยังมะงุมมะงาหรา เราจะถูกหมายหัวว่า และแบ่งแยกว่า ไทยและอาเซียนภาคพื้นทวีปอยู่ใต้อิทธิพลมหาอำนาจ           สหรัฐตั้งกำแพงภาษีครั้งนี้ เป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นหลัก เพราะเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ คือ กำจัดจีนในฐานะที่เป็นภัยคุกคามสูงสุด และเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นเครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์จึงถูกนำมาใช้อย่างรุนแรง เก็บภาษีสูงสุดในอัตรามากกว่า 30% ไปจนถึง 49% สำหรังประเทศที่สหรัฐเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าที่จีนควบคุม ไปจนถึงระดับที่สหรัฐพิจารณาว่าเป็นรัฐบริวารในเขตอิทธิพลของจีน           ไทยจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ขอเรียกร้องให้ผู้นำ นายกฯ รองนายกฯ รมต. ไปจนถึง สทร. ต้องออกมาทำอะไรซักอย่าง           ข้อเสนอของผม คือ สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% (ล่าสุดปรับอีกครั้งเป็น 37%) หนึ่งในทางออกคือ

           ในทุกครั้งที่ผมได้สัมภาษณ์ผ่านรายการต่างๆ รวมถึงใน Live ของผมทุกเช้า            ผมย้ำเสมอว่าอย่าดูแคลนคำว่า “Liberation Day” ถ้าคนอย่างทรัมป์ใช้คำนี้ แปลว่ามันจะน่าสยดสยอง ซาดิสต์ อย่างที่คุณนึกไม่ถึงมาก่อน            ที่ผ่านมาเรามักประเมินทรัมป์ต่ำไป และมองเค้าเป็นเพียงพ่อค้าที่ต้องการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม และเพื่อหารายได้เพิ่ม            นั่นเป็นการมองเพียงผิวเผิน… ความจริงแล้ว นี่คือความพยายามการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ซึ่งใน 100 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง            ลดการขาดดุลการค้า ลดการขาดดุลงบประมาณ ให้บริษัทขนาดใหญ่ย้ายฐานการผลิตกลับมา บีบให้โรงงานทั่วโลกต้องมาที่สหรัฐ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็กในประเทศ          

เวลา 09.00 น.วันที่ 5 เมษายน นายนคร สายยืด นายอำเภอสูงเม่น เป็นประธานในพิธีเปิดซุ้มประตูป้ายหมู่บ้านบวกโป่ง ตำบลน้ำชำ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน โดยมีนายบรรจบ จินดาขัด กำนันตำบลน้ำชำเป็นประธานกรรมการจัดทำซุ้มประตูดังกล่าวให้การต้อนรับ และร่วมพิธี     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำบลน้ำชำโดยเฉพาะบ้านบวกโป่ง เป็นหมู่บ้านตัวอย่างพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรไม้สักอย่างยั่งยืน ประชากรส่วนใหญ่มีเศรษฐกิจที่ดี ชุมชนสะอาด และเป็นชุมชนที่คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเหนียวแน่น และถือเป็นหมู่บ้านOTOPแหล่งสำคัญของจังหวัดแพร่  

  ในช่วงตลอดสัปดาห์ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน 2568 พบว่าที่ จ.สกลนคร มีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 17-19 องศา สูงสุดอยู่ที่ 30-31 องศา ซึ่งตามปกติแล้วในช่วงนี้จะมีสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางปีสภาพอากาศสูงเกือบเตะ 40 องศาก็มี ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนนี้เองทำให้พืชผักตามฤดูกาลหรืออาหารป่าบนเทือกเขาภูพานไม่ออก ส่งผลกระทบชาวบ้านที่เว้นว่างจากอาชีพทำไร่ทำนามาหารายได้เสริมจากการหาอาหารป่าขาดหายไป และจากเดิมที่ตลอด 2 ฟากฝั่งริมถนนทางหลวงหมายเลข 213 สกลนคร-กาฬสินธุ์ จะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ออกมาตั้งแผงวางอาหารป่าขายกันอย่างคึกคักแต่ปีนี้กลับเงียบเหงาต่างจากปีก่อน ๆ โดยนางอ้อย แม่ค้า ขายของอยู่ริมทางเปิดเผยว่า ปีนี้ไม่มีอาหารป่ามาขายเลย เนื่องจากฝนไม่ตกอากาศหนาวผิดฤดูกาลทำให้ของป่า อย่างเช่น เห็ดละโงก เห็ดเปาะ ผักหวานป่า ไข่มดแดง หายากมากถ้ามีก็มีนิดหน่อยไม่พอขาย เหมือนดอกกระเจียวที่เก็บมาได้ก็ต้นเล็กลีบดอกไม่ตูม ไข่มดแดงก็มีแต่ลูกเล็กๆ เท่าที่มีตอนนี้คงเป็นจั๊กจั่นพอจะจับมาขายได้บ้าง ซึ่งสภาพอากาศแบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อนที่หนาวตอนฤดูร้อน ยอมรับว่ากระทบรายได้ในช่วงนี้ ทั้งนี้ถึงอยากฝากร้านแม่อ้อยหากผ่านไปมาบนถนนทางหลวง 213 สกลนคร-กาฬสินธุ์ อยู่ตรงข้ามศาลแม่นาคไอเลิฟยู กันด้วยเพราะเนื่องขายของป่าแล้ว ยังขายเครื่องจักรสานในครัวร้านอีกด้วย.