จากเสียงฆ่า สู่เสียงป่า พาเดินทัวร์ \’กอริลลา\’

           Explore World, Explore Mind EP. ส่งท้ายของรวันดา ผมขอพาทุกท่านปิดฉากด้วยความสงบของใจและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะไม่ได้จบลงที่เลือดและน้ำตา หากแต่จะจบลงที่ “ความงดงามของชีวิต” ที่ยังคงดำเนินต่อไป

           ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่เคยแทบจะล่มสลายจากโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ จะสามารถพลิกฟื้นขึ้นมาเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความหวัง ที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกจากสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าหายาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่พิเศษสุดระดับโลก อย่าง Gorilla Trecking

           ใช่ครับ ตอนนี้ผมจะพาทุกท่านเข้าป่าไปพบกับกอริลลาภูเขาตัวเป็น ๆ แบบไร้กรงกั้น พบในถิ่นที่อยู่จริงของพวกมัน ได้เห็นพฤติกรรมและวิถีชีวิตโดยตรง ใกล้ในระดับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน (ดูภาพปกของบทความนี้ได้) ทั้งการจะเข้าไปพบพวกมันได้ต้องจองล่วงหน้าที่บางช่วงอาจต้องจองกันข้ามปี ที่สำคัญจ่ายเงินในระดับที่ต้องคิดกันหนัก แต่ไม่ว่าจะยุ่งและแพงแค่ไหนต้องบอกว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้น… มากเกินคุ้ม

           กอริลลาแห่งรวันดา  ผืนป่า ภูเขา และชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์

           ท่ามกลางแนวภูเขาไฟที่ทอดยาวทางตอนเหนือของประเทศรวันดา มีอาณาบริเวณหนึ่งซึ่งถือเป็นสมบัติล้ำค่าทางธรรมชาติของโลก อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ (Volcanoes National Park) ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างรวันดา ยูกันดา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เป็นหนึ่งในพื้นที่ไม่กี่แห่งบนโลกที่ยังคงหลงเหลือประชากร “กอริลลาภูเขา” (Mountain Gorilla) อยู่ในป่าธรรมชาติ

           การเดินทางเข้าสู่แหล่งอาศัยของกอริลลาภูเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ในโลกนี้มีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่สามารถจัด Gorillar Tracking ได้ นั่นคือ รวันดา ยูกันดา และคองโกซึ่งหากคุณต้องการความประหยัด เซฟงบประมาณ คุณต้องเลือกที่ยูกันดาหรือคองโก แต่ถ้าคุณต้องการความประทับใจในการจัดการ เห็นวิธีการอนุรักษ์กอริลลาผ่านการสร้างความผูกพันธุ์ระหว่างคนกับสัตว์ รวันดาคือประเทศที่แนะนำ

           แม้ชื่อกอริลลาจะฟังดูน่าเกรงขาม รูปลักษณ์ภายนอกของสัตว์ชนิดนี้จะดูแข็งแรง บึกบึน และมีพลังมหาศาล แต่พฤติกรรมที่แท้จริงกลับเต็มไปด้วยความสงบ ความนุ่มนวล และความอ่อนโยนในระดับที่เหนือความคาดหมาย ยิ่งเมื่อได้พบเห็นด้วยตนเองจะยิ่งทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาพจำของสัตว์ป่าชนิดนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

           สำหรับการเข้าชม Gorillar Tracking ที่รวันดาสามารถจองกับอุธยานได้โดยตรงหรือหากต้องการความสะดวกด้านการเดินทางและการประสานงานต่าง ๆ ก็สามารถจองผ่านเอเยนต์ได้ ซึ่งผมเลือกอย่างหลังด้วยความไม่อยากพลาดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตแบบนี้

           แต่แม้คิดว่าทำทุกอย่างครบถ้วนรอบคอบแล้ว ก็อาจเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ !!!

           ข้อผิดพลาดที่เกือบทำให้ทริปนี้ต้องพังลงต่อหน้าต่อตา เพราะการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งอุทยานแห่งชาติวางมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องกอริลลาจากโรคที่อาจแพร่จากมนุษย์สู่สัตว์ เพราะกอริลลามีโครงสร้างพันธุกรรมใกล้เคียงกับมนุษย์มาก หากติดเชื้อ อาจเกิดการกลายพันธุ์ที่ควบคุมไม่ได้ นักท่องเที่ยวทุกคนจึงต้องมีผลตรวจโควิดก่อนเข้าพื้นที่ ซึ่งข้อกำหนดนี้ผมได้รับแจ้งทางอีเมลล่วงหน้าเพียงไม่ถึง 18 ชั่วโมง !!!

           ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นทันทีหลังเช็คอินโรงแรม แทนที่ผมจะได้พักผ่อนในโรงแรมประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่หลบภัยให้กับผู้คนในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ผมกลับต้องรีบจัดการหาสถานที่ตรวจโควิดด่วนเพื่อให้ได้ผลภายในเช้าวันถัดไป และตอนนั้นเกือบสามโมงเย็นแล้ว จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะไปหาคลีนิกที่ได้รับรองการตรวจโควิทและมีเครื่องมือสามารถให้ผล PCR ได้ทันเช้าวันรุ่งขึ้น ที่สำคัญต้องต่อไปให้ทันเข้าพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุก่อน 16.30 อันเป็นเวลา Last entry มิเช่นนั้นผมก็จะไม่สามารถเก็บข้อมูลจากแหล่งต้นตอได้อีกเลยเพราะผมมีภารกิจต้องเดินทางไปยังแซมเบียต่อในวันถัดไป

           ที่พึ่งสุดท้ายคือ Eric คนขับรถท้องถิ่นซึ่งถูกเรียกมาช่วยภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้นี้ ให้เป็นไปได้ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เอริกสามารถพาผมทำภารกิจนั้นได้ทุกจังหวะอย่างฉิวเฉียดทั้งเฉียดได้ตรวจโควิทเป็นคนสุดท้ายก่อนคลีนิกจะปิด แล้วรีบบึ่งรถต่อไปทันก่อนพิพิธภัณฑ์จะปิดชนิดเป็นผู้เยี่ยมชมชุดสุดท้าย

           และก็ไม่ผิดหวังครับ แม้พิพิธภัณฑ์นั้นจะไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โต หรือนำเสนอด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เนื้อหาภายในนั้นต้องบอกว่าจัดได้อย่าง “ถึงแก่น” สะท้อนให้เห็นที่มาของเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มต้น ไปจนภายหลังที่เหตุการณ์จบ ผู้ชมจะได้เข้าใจแบบลึกซึ้งจากต้นตอจริง ๆ ทำให้สามารถเรียนรู้จุดดำด่างที่สุดครั้งของมนุษยชาติได้แบบเป็นบทเรียนเพื่อเดินต่อ ไม่ใช่แค่โชว์บอร์ดข้อมูล

           แต่ที่สำคัญที่สุดไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้ขณะที่ผมออกมาแล้ว เป็นขณะก่อนที่จะขึ้นรถกลับ ที่ผมได้หันไปถามเอริกที่รออยู่ข้ารถว่า เขาเคยเข้าไปที่นี่หรือไม่ ซึ่งเขาก็ตอบว่าเขามาบ่อยมาก ทั้งยังถามผมกลับว่า “คุณได้เข้าไปในห้องจัดแสดงลำดับที่ 28 ไหม ?“ ผมก็ตอบว่าได้เข้าเป็นห้องที่จารึกชื่อของเหยื่อที่เสียชีวิตจากโศกนาถกรรมใช่ไหม

           เอริกพยักหน้ารับ พร้อมกับพูดต่อด้วยประโยคที่ทำให้ผมต้องสะอึก

           “แม่กับพี่สาวผมอยู่ในนั้น… เธอคือส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์นี้ ที่นี่ ทำให้ผม แม่ และพี่สาวได้เจอกันอีกครั้ง”

           นี่คือสิ่งที่กลั่นออกจากบาดแผลของประเทศทั้งประเทศ ประโยคนั้นไม่ได้สะเทือนใจเพราะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่มันเปี่ยมด้วยความกล้า ความอ่อนโยน และศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่เลือกจะไม่ยอมให้ความเจ็บปวดครอบครองชีวิตทั้งชีวิตที่เหลืออยู่

           บางที…นี่แหละ อาจคือสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจจากภายนอก ประเทศนี้ไม่ได้ลืมอดีต ประเทศนี้เลือก “จำ” จำเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ จำเพื่อปลดปล่อย ไม่ใช่เพื่อจองจำ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้ใครสำนึกผิด หรือเพื่อให้ใครสาปแช่ง แต่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจว่า ความโหดร้ายสามารถเกิดขึ้นได้จริง เมื่อมนุษย์ลืมความเป็นมนุษย์ของกันและกัน

           ในประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนฆ่ากันเพียงเพราะชื่อบนบัตรประชาชนแตกต่างกัน หน้าตาแตกต่างกัน การกล่าวโทษกันอาจดูง่ายกว่าให้อภัย แต่รวันดากลับเลือกเส้นทางที่ยากกว่า คือการ “ให้อภัย” และไม่ใช่แค่การให้อภัยบนกระดาษ ไม่ใช่พิธีกรรมทางกฎหมาย ไม่ใช่แค่คำกล่าวจากรัฐบาล แต่คือการให้อภัยที่เริ่มจากคนธรรมดา คนที่เคยสูญเสีย คนที่เคยเกลียด คนที่เคยถูกทำร้าย และวันหนึ่งตื่นขึ้นมาพร้อมคำถามว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปเพื่ออะไร

           เอริกไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักเคลื่อนไหว แต่เขาคือเหยื่อ และในเวลาเดียวกัน เขาก็คือผู้ปลดปล่อย เอริกไม่ต้องการให้ใครมาขอโทษแต่ต้องการให้ใครสักคน “เข้าใจ” และเดินไปข้างหน้าร่วมกัน

           นี่แหละคือหัวใจของระบบการให้อภัยแบบรวันดา ไม่ใช่ระบบที่ตั้งอยู่บนความลืมเลือนหรือความจำใจ แต่ตั้งอยู่บนการรับรู้ลึกซึ้งว่า ความเกลียดชังพาเราไปไหน และความเข้าใจพาเราไปถึงอะไร การที่อดีตฆาตกรกับเหยื่อสามารถอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ร่วมงานชุมชนเดียวกัน ส่งลูกไปโรงเรียนเดียวกัน คือการยืนยันว่า ความเป็นมนุษย์ยังมีพื้นที่ให้เราได้เริ่มต้นใหม่เสมอ

           และนั่นคือเหตุผลที่ในรวันดา ไม่มีใครใช้คำว่า ฆาตกรหรือเหยื่ออีกต่อไป มีเพียง “ชาวรวันดา” มันคือการหายใจต่อในวันที่บาดแผลยังไม่จาง มันคือการยิ้มให้กันในวันที่น้ำตายังอุ่น มันคือการมองไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง

           พิพิธภัณฑ์แห่งความสูญเสียที่ผมเดินเข้าไปในวันนั้น ไม่ใช่สถานที่เก็บวัตถุทางประวัติศาสตร์ แต่มันคือประจักษ์พยานของหัวใจมนุษย์ ที่ยืนยันว่า “การให้อภัย” ไม่ได้ลบอดีต แต่มันคือการเขียนอนาคตด้วยมือของเราเอง

           ในเช้าวันรุ่งขึ้น… คือเวลาที่ผมได้เดินเข้าสู่ป่ากอริลลา หนึ่งในรายการ Bucket List ของชีวิต ที่ผมตั้งใจมาเพื่อตามหา และขณะนี้ได้เวลาเข้าเรื่อง ep. สุดท้ายเสียที ตามผมเข้าป่ากันได้เลยครับ

           จากเมืองหลวงสู่ป่าภูเขาไฟ

           ถนนจากกรุงคิกาลี (Kigali) เมืองหลวงของรวันดา มุ่งหน้าสู่ภูเขาสูงใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทอดยาวผ่านภูมิประเทศที่มีเนินเขานับพันสมชื่อ “ดินแดนแห่งภูเขาพันลูก” ตลอดเส้นทาง 2-3 ชั่วโมงสู่เมืองมุซานเซ (Musanze) อากาศเย็นสบายและทิวทัศน์ชนบทเขียวขจีสร้างความตื่นเต้นในใจผู้เดินทางทุกขณะ เมื่อขอบฟ้าเริ่มปรากฏเงาราง ๆ ของยอดภูเขาไฟวิรุงกา (Virunga) ที่สลับซับซ้อน ก็รู้สึกเสมือนกำลังเดินทางเข้าสู่ดินแดนลี้ลับในสารคดีธรรมชาติ ระหว่างทางเราได้พบกับหมู่บ้านท้องถิ่นยามเช้า ผู้คนโบกมือทักทายนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น บ่งบอกถึงมิตรไมตรีของชาวรวันดาที่มีต่อผู้มาเยือน

           ในที่สุด รถก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ (Volcanoes National Park) ช่วงรุ่งสาง แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ทอผ่านสายหมอกบาง ๆ ที่ปกคลุมยอดเขา

           ลงทะเบียนและอบรมก่อนพบกอริลลา

           เมื่อไปถึงเขตอุทธยาน นักท่องเที่ยวต้องไปลงทะเบียนและตรวจสอบใบอนุญาตที่ต้องจองล่วงหน้าที่อาคารรับรอง ตรงจุดนี้เองที่เอกสารผลตรวจโควิดต้องใช้ (ในสมัยนั้น) เมื่อเรียบร้อยแล้วสามารถไปเข้าห้องน้ำ หรือนั่งพักรอเวลาได้ตามอัธยาศัยซึ่งจะมีศาลาขนาดใหญ่พร้อมเจ้าหน้าที่คอยชงชา กาแฟ และเครื่องดื่มต่าง ๆ เสิร์ฟให้นักท่องเที่ยว

           จากนั้นผู้นำทางของอุทยานก็แบ่งนักท่องเที่ยวออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ กลุ่มละไม่เกิน 8 คน ตามระดับความฟิตและความสนใจของแต่ละคน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกกลุ่มจะได้พบกอริลลาและเพลิดเพลินกับประสบการณ์อย่างปลอดภัย หากใครต้องการเดินทางสั้นหรือยาวเป็นพิเศษ สามารถแจ้งได้ตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าหน้าที่จะพยายามจัดกลุ่มให้เหมาะสมกับความสามารถของเรา

           ก่อนออกเดินทาง ผู้นำทางจะอบรมเกี่ยวกับกฎระเบียบและมารยาทในการเข้าชมกอริลลาอย่างละเอียด ทั้งเพื่อความปลอดภัยของเราเองและเพื่อสวัสดิภาพของกอริลลา ในฐานะญาติที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ กอริลลาภูเขามีความไวต่อโรคที่มนุษย์อาจแพร่ไปถึงพวกมัน หากรู้สึกป่วยมีไข้หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ เราต้องแจ้งทันทีและงดการเข้าพบกอริลลา นอกจากนี้ยังมีหลักปฏิบัติสำคัญ เช่น รักษาระยะห่างอย่างน้อยราว 7-10 เมตร จากกอริลลาเสมอ หากกอริลลาเดินเข้ามาหา เราต้องถอยห่างตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ ห้ามทำท่าทางที่อาจถูกมองว่าเป็นการท้าทาย ห้ามส่งเสียงดังหรือวิ่งหนีไม่ว่าจะตกใจแค่ไหนก็ตาม หากกอริลลาตัวผู้จ่าฝูงแสดงพฤติกรรมขู่ หงุดหงิด เราต้องนิ่งและหลบสายตาโดยไม่เคลื่อนไหวจนกว่ามันจะสงบลงเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพมัน พร้อมทั้งมีการอบรมเบื้องต้นนี้เกี่ยวกับพฤติกรรมของกอริลลาและการใช้ท่าทาง เสียง หรือภาษากายในการสื่อสารพื้นฐาน เช่น การค้อมตัวลงต่ำ พร้อมส่งเสียง “อึ่มมมมมมมม” ในลำคอซึ่งเป็นการแสดงความเป็นมิตร และที่ขาดไม่ได้คือ ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายภาพเด็ดขาด พราะแสงแฟลชจะรบกวนสัตว์ป่าอย่างมาก ซึ่งคำแนะนำนี้ทำให้ตระหนักได้ว่า การได้พบกอริลลาอย่างใกล้ชิดนั้นเป็นสิทธิพิเศษที่มาพร้อมความรับผิดชอบ

           เมื่อการบรรยายสรุปจบลง คณะออกเดินทางโดยรถขับเคลื่อนสี่ล้อไปยังจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าบนไหล่เขาโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากเขตอุทธยาน ทันทีที่มาถึงสองข้างทางรายล้อมไปด้วยชาวบ้าน ซึ่งผู้นำทางบอกว่า พวกเขาจะมาทำหน้าที่เป็นลูกหาบ (porter) ให้แก่นักท่องเที่ยว ใครที่ต้องการสามารถเรียกใช้บริการได้ เพราะการมีลูกหาบร่วมเดินทางไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระทางกาย (ทำให้มือของเราว่างสำหรับการทรงตัวหรือหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ) แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสการจ้างงานให้ชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย ค่าจ้างเหล่านี้มีความหมายต่อครอบครัวของลูกหาบอย่างมาก เพราะหลายคนในชุมชนยังชีพด้วยเกษตรกรรมและแทบไม่มีรายได้เงินสดเลย การจ้างงานเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนักท่องเที่ยวเช่นนี้จึงเป็นแหล่งรายได้ที่มีคุณค่าและเชื่อมโยงโดยตรงกับการอนุรักษ์กอริลลาผ่านการท่องเที่ยว

           นอกจากด้านรายได้แล้ว การที่ชาวบ้านได้ร่วมเดินทางไปกับเรา ยังเป็นการส่งเสริมการซึมซับความรู้คุณต่อป่า รู้คุณต่อกอริลลา เพราะป่าและกอริลลาทำให้พวกเขามีเงิน มีงาน นี่จึงเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์ที่ให้คนในพื้นที่ในชุมชนช่วยดูแลกันเอง

           หลังเตรียมความพร้อมเรียบร้อย คณะเล็ก ๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้นำทาง ผู้ช่วย นักท่องเที่ยวร่วมคณะ ลูกหาบที่นักท่องเที่ยวท่านอื่นจ้าง (ผมไม่ได้จ้างเพราะไม่มีอะไรติดตัวไปด้วย) ก็เริ่มออกเดินเท้าเข้าสู่ป่าเขตร้อนชื้น เส้นทางช่วงแรกนำเราลัดเลาะผ่านไร่ของชาวบ้านและแนวรั้วพุ่มไม้กั้นเขตอุทยาน ก่อนเปลี่ยนเป็นดินโคลนและใบไม้ชื้นแฉะใต้ร่มเงาป่าไผ่สูงตระหง่าน สภาพเส้นทางเต็มไปด้วยความสมบุกสมบัน บางช่วงเป็นทางชันลื่น เราต้องใช้ไม้เท้าที่เตรียมมาและคว้ากิ่งไม้หรือจับมือคณะร่วมเดินทางช่วยกันพยุงตัวเวลาปีนโขดหิน ไม่นานนักพรมแดนแห่งอารยธรรมก็อยู่ข้างหลัง เหลือเพียงเสียงป่าและหัวใจที่เต้นระทึกอยู่ในอก

           และเพราะขวากหนามในป่านี้เอง ที่ทำให้ได้รู้จักกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง Buffalo Man

           Buffalo Man คือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำทางและคุ้มครองนักท่องเที่ยวระหว่างกิจกรรม Gorilla Trekking หน้าที่หลักของ Buffalo Man ได้แก่ เปิดเส้นทางเดินป่า (Path Clearing) ด้วยการจะเดินนำกลุ่ม พร้อมถือมีดพร้า (machete) ขนาดใหญ่ไว้คอยฟันกิ่งไม้ เถาวัลย์หรือพืชรกที่ขวางเส้นทาง เพื่อให้การเดินป่าเป็นไปอย่างปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ป่าจะหนาทึบมากกว่าปกติ พร้อมกับคุ้มกันนักท่องเที่ยวจากสัตว์ป่า เพราะแม้เส้นทางจะถูกเลือกให้ปลอดภัย แต่ก็อาจมีโอกาสพบสัตว์ป่า เช่น ควายป่า (African Buffalo) ช้าง ลิง หรือแม้แต่กอริลลาจ่าฝูงที่ไม่คุ้นชินกับมนุษย์

           ในคณะจะมี Buffalo Man เพียงหนึ่งคนที่ได้รับการอนุญาตให้พกปืน ซึ่งต้องเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง ปืนนี้ปกติไม่ใช้ยิงแต่เพื่อขู่หรือป้องกันภัยหากจำเป็น และทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยให้กับคณะ

           นอกจากนำทาง ยังต้องประสานงานกับทีมติดตามกอริลลา (Trackers) เนื่องจาก Buffalo Man มักเป็นผู้มีประสบการณ์สูง รู้จักพื้นที่อย่างดี และทำงานร่วมกับพรานป่าที่ออกไปตามหาร่องรอยกอริลลาตั้งแต่เช้ามืด เมื่อได้รับพิกัดล่าสุดของฝูงกอริลลา Buffalo Man จะช่วยนำทางและปรับเส้นทางให้สอดคล้องกับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมจริงในขณะนั้น และที่สำคัญจะคอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น หากเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยระหว่างทาง เช่น ลื่นล้ม ถูกขวากหนามเกี่ยว มีอาการเหนื่อยล้า หรือแม้แต่การเข้าห้องน้ำ มีดพร้าที่ใช้ฟันกิ่งไม้ จะถูกแปลงหน้าที่มาขุดหลุมเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ปลดปล่อยภารกิจส่วนตัวที่กลางป่านี้เอง (ห้ามปลดทุกข์ทั้งหนักและเบาโดยตรงกับพื้น ต้องขุดหลุมแล้วกลบเมื่อทำธุระเสร็จเพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่สู่สัตว์)

           ที่มาของชื่อ Buffalo Man มาจากควายป่า Buffalo ซึ่งเป็นสัตว์ป่าใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าดุและอันตรายมากในป่าแอฟริกา โดยเฉพาะในรวันดา ในอดีตควายป่าถูกมองว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ของการเดินป่า การมีคนคอยเปิดทางและคุ้มกันจึงเปรียบได้กับผู้ที่ต่อกรกับควายป่าได้ จึงถูกเรียกในหมู่นักท่องเที่ยวว่า Buffalo Man เปรียบได้กับ “นักรบเงียบแห่งป่าภูเขาไฟ” ผู้ไม่เพียงเปิดทางให้ผู้คนได้พบกอริลลา แต่ยังคอยดูแลให้ทุกก้าวของการเดินป่าปลอดภัย และเติมเต็มประสบการณ์ Gorilla Treckking ให้สมบูรณ์อย่างแท้จริง

           ผจญภัยกลางป่าดิบชื้นภูเขาไฟ

           เราเดินเข้าสู่เขตป่าเขตอบอุ่นที่เต็มไปด้วยพืชพรรณหนาทึบ ทั้งเถาวัลย์และต้นไม้สูงใหญ่เขียวครึ้ม พื้นดินชุ่มชื้นคล้ายฟองน้ำจากฝนที่ตกโปรยปรายเกือบทุกวัน ช่วงเช้าตรู่เช่นนี้ แสงอาทิตย์ส่องลอดยอดไม้ลงมากระทบรอยเท้าช้างป่าที่ทิ้งไว้เป็นหลุมบนดิน ขี้ควาย ขี้ช้าง มีอยู่ประปรายรายทาง นักท่องเที่ยวทุกคนเงี่ยหูฟังเสียงป่ารอบตัวด้วยความตื่นเต้น เสียงนกร้องก้องกังวานไปทั่ว ตามซอกโขดหินมีมอสส์และเห็ดป่าขึ้นปกคลุมส่งกลิ่นอับชื้นจาง ๆ ชวนให้นึกถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การเดินป่านี้ควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าพร้อมจุ่มโคลน และถุงเท้ากันทากและแมลง ทุกคนมุ่งหน้าเดินลุกเข้าไปอย่างมุ่งมั่น ถึงเหงื่อจะซึมชุ่มหลังและน่องจะล้าแค่ไหนแต่พวกเราต่างไม่ย่อท้อเพราะสักครั้งในชีวิตที่ได้ปีนภูเขาไฟเพื่อตามหากอริลลา

           หลังจากลุยป่าเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดผู้นำทางก็ได้รับสัญญาณวิทยุสื่อสารจากทีมพรานป่าล่วงหน้าที่ออกตามหาร่องรอยกอริลลา เมื่อรู้ว่าฝูงกอริลลาอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นไปอีกระดับ ผู้นำทางให้นักท่องเที่ยววางกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดไว้กับลูกหาบและเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าบางนายที่จะพักรออยู่ ณ จุดนี้ เราต้องทิ้งของทุกอย่างไว้เพราะอาจทำให้กอริลลาตกใจหรือคิดว่าเป็นอาวุธ จากนี้ไปจะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ใกล้ชิดกับ “ญาติร่วมโลก” ของเราอย่างแท้จริง

           เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งป่าภูเขาไฟ

           คณะเดินตามหลังผู้นำทางไปอย่างช้า ๆ ความรู้สึกในตอนนั้นทั้งตื่นเต้นและประหม่า ทุกคนพยายามไม่ส่งเสียงแม้เพียงฝีเท้า ผู้นำทางแหวกกอหญ้าและใบเฟิร์นออกอย่างแผ่วเบาแต่ยังไม่เจออะไร ก่อนที่เสียงพุ่มไม้สั่นไหวตามหลังพร้อมกับร่างที่วิ่งตัดหน้าไป

           กอริลลาวิ่งเฉียดหลังผมไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน !!!

           เจ้าขนสีดำมะเมื่อมเป็นมันเงาต้องแสงวิ่งตัดหน้าไปเป็นสัญญาณว่า ข้างหน้าจะมีพรรคพวกของมันอยู่ แล้วเราก็ได้เจอมัน กอริลลาหลายตัวกำลังนั่งถอนใบไม้อ่อนใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างสบายอารมณ์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของมันชำเลืองมองพวกเราแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปสนใจกับมื้ออาหารเช้าของตนเอง ราวกับว่าการมาเยือนของมนุษย์เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของมันเสียแล้ว

           เมื่อได้รับสัญญาณว่าสามารถเข้าไปใกล้ได้อีก พวกเราค่อย ๆ ย่องลงไปตามไหล่เนิน กอริลลาเหล่านี้ผ่านการ “ทำให้เชื่อง” โดยการเห็นมนุษย์จนคุ้นชินมาหลายปี ทุกตัวจึงยังคงทำกิจกรรมของมันตามปกติแม้เราจะอยู่ในระยะใกล้ ช่วงเวลานั้นช่างน่าอัศจรรย์มากที่ได้เฝ้าดูสัตว์ป่าโดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะรบกวนหรือทำให้มันหนีไป เราโชคดีอย่างยิ่งที่วันนั้นได้เห็นสมาชิกฝูงหลายตัว รวมถึงแม่กอริลลากับลูกน้อยวัยไม่ถึงขวบที่เธอโอบอุ้มไว้บนอ้อมแขน นางอุ้มลูกไว้ด้านในของตัวเพื่อปกป้องอันตรายจากภายนอกโดยที่ลูกกอริลลาตัวน้อยเกาะอยู่บนขนหน้าอกของแม่แน่นและชะโงกหน้ามองโลกกว้างด้วยความอยากรู้ ก่อนที่แม่กอริลลาจะค่อย ๆ ปีนต้นไม้แล้วกระโจนไปมาหายไป

           จู่ ๆ เสียงใบไม้ก็สั่นไหวจากด้านหลังพุ่มไม้ใหญ่ ไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างพละกำลังสูงใหญ่ของ กอริลลาตัวผู้จ่าฝูง (Silverback) ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม จ่าฝูงตัวนี้มีแผ่นหลังสีเงินแผ่กว้างตามวัย มันกำลังคว้าใบไผ่มากินอย่างสบายใจ ทุกคนในที่นั้นหยุดนิ่ง ไกด์ผิวปากเบา ๆ ส่งสัญญาณสื่อสารกับจ่าฝูงด้วยภาษากอริลลาพื่อแสดงให้มันรู้ว่าเราไม่มีเจตนาร้าย จ่าฝูงส่งเสียงกรรรเบา ๆ ในลำคอเหมือนรับรู้ ก่อนจะค่อย ๆ เอนตัวลงนั่งกับพื้นป่าแล้วเริ่มหยิบยอดไม้มุมหนึ่งมากินต่อ ท่าทีผ่อนคลายของมันทำให้พวกเราหายเกร็ง และกลับมาตื่นเต้นปนปีติอีกครั้งที่ได้เห็น “ราชาแห่งป่า” ในระยะใกล้ขนาดนี้

           ตลอดเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงที่เราได้รับอนุญาตให้อยู่กับกอริลลา ฝูงกอริลลาทั้งหมดก็ใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติของมันอย่างไม่แยแสต่อการปรากฏตัวของมนุษย์แปลกหน้า พวกมันผลัดกันเกาและทำความสะอาดขน (social grooming) ส่งเสียงครางฮึมฮัมสื่อสารกันเบา ๆ บ้างก็นอนเอกเขนกพิงโคนไม้ใหญ่ บ้างปีนเล่นหยอกล้อกันบนต้นไม้เตี้ย ๆ เสน่ห์อย่างหนึ่งของกอริลลาภูเขาคือ ความสงบอ่อนโยนผิดจากภาพลักษณ์กอริลลาในภาพยนตร์ที่ดุร้าย เราได้เห็นกับตาว่าพวกมันเป็น “ยักษ์ใหญ่ใจดี” ของจริง อาหารที่พวกมันกินล้วนเป็นใบไม้ ผลไม้ และหน่อไม้ ไม่มีการล่าหรือทำร้ายสัตว์อื่นให้เห็นเลยสักนิด

           นักท่องเที่ยวในคณะต่างเงยหน้าขึ้นจากหลังกล้องถ่ายรูปเป็นระยะ พยายามซึมซับช่วงเวลานี้ด้วยตาตนเองโดยตรงให้เต็มที่ ดวงตาของกอริลลาช่างดูมีความคิดและความรู้สึก นี่หรือคือสายใยของญาติผู้ร่วมโลกที่ห่างเหินกันมาหลายล้านปี การได้ใกล้ชิดกับกอริลลาภูเขาในระยะประชิดเช่นนี้ทำให้เราสามารถตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ป่าและความงามแห่งธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

           เมื่อได้เวลา ผู้นำทางพาทุกคนค่อย ๆ ถอยออกมาอย่างอาลัย หันไปมองฝูงกอริลลาครั้งสุดท้าย โชคดีที่ก่อนกลับได้เจอพวกเขามาส่งครั้งสุดท้ายและกำลังโชว์วิธีการก้มกินน้ำในลาธารที่ไม่เหมือนใคร (ภาพในคอมเมนต์) คณะออกมารวมตัวกันบนเส้นทางเดิม เก็บสัมภาระกลับคืนจากลูกหาบ แล้วเริ่มเดินออกจากป่ากลับสู่พื้นที่ของคนอีกครั้ง

           มรดกจากกอริลลาสู่ชุมชน

           แนวทางการอนุรักษ์สัตว์ป่าของรวันดานับเป็นรูปแบบ “Conservation through Tourism” กล่าวคือ รวันดาได้นำรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยเฉพาะจากการตามรอยกอริลลา มาสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นไปพร้อมกัน แนวคิดนี้สร้างคุณค่าหลากหลายมิติ

           ทางชีววิทยา รายได้จากการท่องเที่ยวถูกนำมาใช้เป็นทุนปกป้องถิ่นอาศัยของกอริลลาและสัตว์ป่าอื่น ๆ ทำให้หน่วยงานอนุรักษ์สามารถดำเนินงานลาดตระเวนป้องกันการลักลอบล่าสัตว์และรักษาป่าได้อย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือประชากรกอริลลาภูเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤตในทศวรรษ 1980 (เหลือไม่ถึง 300 ตัวในรวันดา) ได้ฟื้นตัวเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่า 600 ตัวในปัจจุบัน และทั่วโลกมีประชากรกอริลลาภูเขากว่า 1,000 ตัวแล้ว นับเป็นลิงใหญ่ชนิดเดียวที่จำนวนประชากรอยู่ในเกณฑ์เพิ่มขึ้น สะท้อนความสำเร็จของความพยายามอนุรักษ์อย่างแท้จริง นอกจากนั้น การปกป้องกอริลลาในป่าภูเขาไฟยังหมายถึงการรักษาระบบนิเวศป่าฝนภูเขาสูงที่สำคัญต่อโลก ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกักคาร์บอน ช่วยรักษาสมดุลภูมิอากาศ และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารตามธรรมชาติ พื้นที่ป่าได้รับการฟื้นฟูเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยความครอบคลุมของผืนป่ารวันดาเพิ่มจากเพียง 10.7% ของพื้นที่ประเทศในปี 2010 เป็นกว่า 30% ในปี 2022 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการฟื้นฟูป่าและที่อยู่อาศัยของกอริลลาที่ได้รับทุนสนับสนุนจากการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

           การอนุรักษ์กอริลลาผ่านการท่องเที่ยวได้หลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวรวันดาอย่างแนบแน่น ปัจจุบันคนท้องถิ่นมีความตระหนักและภาคภูมิใจในสัตว์ป่าของตนมากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งคือพิธี “ควิต้า อิซิน่า” (Kwita Izina) หรือพิธีตั้งชื่อกอริลลาแรกเกิดประจำปี ซึ่งรัฐบาลรวันดาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองการกำเนิดของทารกกอริลลาแต่ละตัว

           พิธีนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2005 และดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ให้แก่สาธารณชน ทั้งในประเทศและทั่วโลก ทุกปีชุมชนท้องถิ่น นักอนุรักษ์ และแขกผู้มีเกียรติจะมาร่วมตั้งชื่อให้ลูกกอริลลาอย่างสร้างสรรค์ ถือเป็นงานรื่นเริงทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานสาระด้านการอนุรักษ์ได้อย่างลงตัว

           นอกจากพิธีนี้ ชาวบ้านรอบอุทยานยังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น การแสดงเต้นรำพื้นเมืองให้ความบันเทิงแก่นักท่องเที่ยว การจัดแสดงหัตถกรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมในหมู่บ้านจำลอง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่ แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจและความผูกพันระหว่างชุมชนกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย ชาวรวันดาไม่น้อยที่เคยมีวิถีชีวิตพึ่งพาการล่าสัตว์ป่า (เช่น ล่ากอริลลาหรือสัตว์อื่น) ได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นผู้พิทักษ์ป่า ไกด์นำเที่ยว หรือลูกหาบ ซึ่งสะท้อนถึงการที่สังคมซึมซับแนวคิดการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

           ในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวตามรอยกอริลลากลายเป็นเสาหลักหนึ่งของเศรษฐกิจรวันดาอย่างไม่น่าเชื่อ รายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนมากหมุนเวียนกลับสู่ประเทศและชุมชนท้องถิ่น ตัวเลขจากคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวรวันดาระบุว่า รายได้จากนักท่องเที่ยวที่มาชมกอริลลาเพียงอย่างเดียวคิดเป็นประมาณ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของรวันดาเลยทีเดียว นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการแบ่งปันรายได้จากการท่องเที่ยว (Tourism Revenue Sharing) โดยจัดสรร 10% ของรายได้จากอุทยานแห่งชาติทั้งหมดกลับคืนสู่โครงการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนรอบอุทยาน (เดิมเริ่มที่ 5% ในปี 2005 และเพิ่มเป็น 10% ในปัจจุบัน) ตลอดช่วงกว่า 15 ปีที่ผ่านมา เงินจำนวนนี้ถูกนำไปสร้างประโยชน์ให้ชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน สะพาน ระบบน้ำสะอาด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ หรือโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล มีการดำเนินโครงการชุมชนกว่า 360 โครงการทั่วประเทศด้วยงบประมาณจากส่วนแบ่งรายได้นี้ และมีประชาชนท้องถิ่นราว 39,000 คนที่ได้รับประโยชน์โดยตรง จากโครงการดังกล่าว

           กล่าวได้ว่า การดูแลกอริลลาทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังสร้างงานสร้างอาชีพมากมาย เช่น การจ้างงานไกด์ท้องถิ่น พนักงานดูแลที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และที่สำคัญคือตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าและพรานป่าที่เฝ้าระวังกอริลลาตลอดทั้งปี เงินทุนจากนักท่องเที่ยวช่วยให้การปฏิบัติงานเหล่านี้ดำเนินต่อเนื่อง “กอริลลาช่วยหล่อเลี้ยงทั้งชุมชน” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย รายได้จากนักท่องเที่ยวที่มาชมกอริลลาได้ถูกนำไปสร้างโรงเรียนประถม 57 แห่ง (รองรับนักเรียนกว่า 13,700 คน) สร้างศูนย์สุขภาพ 12 แห่ง และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในพื้นที่ชนบท ซึ่งทั้งหมดนี้ยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาทุนมนุษย์ของรวันดาในระยะยาว

           จะเห็นได้ว่า การอนุรักษ์ผ่านการท่องเที่ยวในกรณีของรวันดา มิได้เป็นเพียงคำขวัญสวยหรู แต่เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งต่อธรรมชาติและผู้คนอย่างสมดุล รัฐบาลรวันดาและองค์กรพันธมิตรด้านอนุรักษ์ (เช่น กองทุนกอริลลาดิแอน ฟอสซีย์ และโครงการพันธมิตรกอริลลาโลก) ทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด ชาวบ้านมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรของตนเองเพราะได้รับแรงจูงใจจากส่วนแบ่งรายได้และประโยชน์ต่าง ๆ แนวทางเช่นนี้เปลี่ยนศัตรูของการอนุรักษ์ให้กลายเป็นมิตร กล่าวคือ จากที่บางชุมชนเคยล่าสัตว์หรือบุกรุกป่าเพื่อหาเลี้ยงชีพ บัดนี้พวกเขากลับกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ที่ช่วยแจ้งเบาะแสการลักลอบล่าสัตว์ และร่วมรณรงค์ปกป้องกอริลลา เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นแล้วว่ากอริลลานำมาซึ่งความกินดีอยู่ดีของลูกหลานตนเอง

           ต้นแบบแห่งความยั่งยืนให้โลกศึกษา

           การเดินทางตามรอยกอริลลาภูเขาในรวันดาครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโลกทัศน์สู่ความงามของธรรมชาติและความใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตร่วมโลก หากยังเป็นบทเรียนให้เห็นถึงรูปแบบการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนซึ่งประเทศเล็ก ๆ ในแอฟริกากลางแห่งนี้ได้ริเริ่มและพัฒนาอย่างได้ผล รวันดาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า การอนุรักษ์สัตว์ป่าและการพัฒนาประเทศสามารถเกื้อหนุนกันได้ ไม่ใช่ขัดแย้งกันเสมอไป เงินตราจากนักท่องเที่ยวที่ยอมจ่ายเพื่อพบเจอสัตว์ป่าหายากถูกนำมาหมุนเวียนปกป้องสัตว์เหล่านั้นและยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนคนยากไร้ ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชนในลักษณะนี้ เป็นกรณีตัวอย่างที่นานาชาติยอมรับและยกย่อง องค์การสหประชาชาติได้ชี้ว่าความสำเร็จของรวันดาในการฟื้นฟูประชากรกอริลลาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวนั้น เป็นโมเดลที่สามารถจูงใจให้ประเทศอื่น ๆ ดำเนินรอยตาม ในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนากับการรักษาระบบนิเวศ

           พวกเราทุกคนต่างเชื่อมโยงถึงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การเลือกเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของนักเดินทางอาจช่วยกำหนดชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น และในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองในถิ่นทุรกันดาร ประสบการณ์ตามรอยกอริลลาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวผจญภัยทั่วไป หากเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพและรับผิดชอบ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารอยยิ้มและแววตาที่เปี่ยมสุขของชุมชนชาวรวันดาที่ได้พบเจอระหว่างทาง ตลอดจนสายตาเปี่ยมปัญญาของกอริลลาภูเขาในป่าลึก จะยังคงอยู่ในความทรงจำ และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เดินทางทุกคนช่วยกันรักษาโลกอันงดงามใบนี้สืบไป

           เมื่อคนสามารถ​กลมกลืนกับธรรมชาติ​… จิตใจจะอ่อนโยนขึ้นโดยอัตโนมัติ​ ความกลมกลืน​ที่ว่านี้ไม่เพียงแค่พากายเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ​เท่านั้น แต่หมายถึง​ ใจ​ ที่หลอมรวมเป็น​หนึ่งเดียว​กับธรรมชาติ​ด้วย

ที่มา : ดร.วีรณัฐ​ โรจนประภา