Explore World, Explore Mind เสาร์นี้ กลับมาพร้อมเรื่องราวของประเทศที่โลกเคยมองข้าม แต่ประวัติศาสตร์ของมันกลับกระแทกหัวใจได้แรงกว่าที่ใครคาดคิด รวันดา ดินแดนที่เคยตกอยู่ในห้วงมืดมนของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และในเวลาเพียงไม่ถึงศตวรรษ ก็สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดท่ามกลางเวทีโลกได้อีกครั้งอย่างสง่างาม โดยไม่มีพลังเหนือธรรมชาติใดช่วยเหลือ มีเพียง \”หัวใจของประชาชน\” ที่ไม่ยอมยกประเทศให้กับความเกลียดชัง
สองตอนก่อนผมได้เล่าไปแล้วถึงภาพของสงครามกลางเมือง และการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นเมื่อสามทศวรรษก่อน แต่ในตอนนี้ ก่อนที่จะพาทุกคนไปสัมผัสทริปสุดพิเศษที่มีเพียงสามประเทศในโลกเท่านั้นที่จัดได้ ผมขอหยุดไว้ตรงนี้สักครู่ เพื่อพาไปขุดชั้นหินทางประวัติศาสตร์ที่ลึกกว่านั้นอีกระดับ เพื่อให้เข้าใจว่า ก่อนที่ประเทศนี้จะเปื้อนเลือดของเพื่อนบ้านกันเอง มันเคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านั้น
เพราะจะเข้าใจปัจจุบันได้จริง ต้องกล้าหันกลับไปมองอดีตอย่างไม่หลบสายตา และเมื่อมองให้ลึกมากพอก็จะเห็นว่า ต้นตอของความบาดหมางไม่ได้เริ่มจากชาวรวันดาเอง หากแต่ฝังรากมาจากยุคล่าอาณานิคม วันที่ประเทศนี้ตกอยู่ในเงาอำนาจของจักรวรรดิเบลเยียม และถูกปกครองด้วยยุทธศาสตร์ \”แบ่งเพื่อปกครอง\”
ดังนั้น ถ้าใครอยากเข้าใจว่าทำไมรวันดาถึงเคยลุกเป็นไฟ และวันนี้กลับมายืนหยัดได้อย่างน่าอัศจรรย์ ต้องกล้าตามไปเปิดหน้าประวัติศาสตร์ที่หลายคนเลือกจะปิดเอาไว้ เพราะตอนต่อไปนี้ จะพาย้อนเวลากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง… ในตอนที่มีชื่อว่า
ภาคปฐมบท : จุดเริ่มต้นของความบาดหมางในเงาอาณานิคม
โศกนาฏกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาเมื่อปี 1994 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปเกือบหนึ่งล้านคนในเวลาเพียง 100 วัน ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในชั่วข้ามคืน หากแต่มีรากลึกฝังแน่นย้อนกลับไปไกลกว่านั้น สู่ยุคสมัยแห่งการล่าอาณานิคมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 ประเทศรวันดา ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นดินแดนภายใต้ระบบราชอาณาจักรพื้นเมือง ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิเยอรมนี และต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้ถูกส่งมอบให้เป็นเขตอาณัติของราชอาณาจักรเบลเยียมภายใต้การดูแลของสันนิบาตชาติ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอันใหญ่หลวงต่อสังคมรวันดา
ในสายตาของเจ้าอาณานิคมชาวเบลเยียม ชาวรวันดาถูกแบ่งออกตามลักษณะทางกายภาพโดยคร่าว ๆ เป็นสองกลุ่มใหญ่ เพราะหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการปลูกฝังความเกลียดชังระหว่างชนกลุ่มทุตซีและฮูตู ไม่ได้อยู่ในรูปของอาวุธ หรือคำสั่งจากกองทัพ หากแต่คือข้อมูลปลอมที่แฝงอยู่ในรูปของชีววิทยาซึ่งถูกเผยแพร่ซ้ำ ๆ จนกลายเป็น “ความเชื่อที่จับต้องได้” สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ในรวันดา
ระหว่างยุคอาณานิคมได้มีการส่งนักมานุษยวิทยาและนักบวชยุโรปเข้าไปศึกษาลักษณะทางกายภาพของประชากรชาวรวันดา โดยพยายามแบ่งแยกประชากรออกเป็นกลุ่ม ๆ บนพื้นฐานของรูปลักษณ์ เช่น ความสูง รูปหน้า ความยาวของจมูก และระยะห่างระหว่างจมูกกับริมฝีปาก ข้อมูลเหล่านี้ถูกสรุปอย่างง่ายว่า “ชาวทุตซีมีใบหน้าเรียวยาว โครงหน้าคล้ายชาวยุโรป และมีสรีระสูงโปร่ง” ขณะที่ชาวฮูตูถูกอธิบายว่า “มีใบหน้าสั้น หนา และรูปร่างเตี้ยกว่า”
แม้ในทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ข้อสังเกตเหล่านี้จะถือเป็นการเหมารวมที่ไร้หลักฐานและเต็มไปด้วยอคติเชิงเชื้อชาติ (racial pseudoscience) แต่ในเวลานั้น กลับถูกใช้เป็นหลักฐานเชิงกายภาพเพื่อสร้างความต่างทางชาติพันธุ์ในระดับที่ประชาชนทั่วไปสามารถ “เห็นด้วยตา” และ “ยึดถือเป็นความจริง”
เมื่อคำอธิบายเชิงชีววิทยาเทียมถูกรับรองมันจึงแทรกซึมเข้าไปในทุกมิติของสังคมรวันดา และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความแตกต่างทางรูปลักษณ์นี้ถูกขยายความต่อยอดไปสู่การตีตราทางจิตวิทยา ทุตซีถูกมองว่า “หยิ่ง ยโส เอาตัวรอดเก่ง” ขณะที่ฮูตูถูกมองว่า “หยาบ หนัก และด้อยกว่า” ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง ประชากรทั้งสองกลุ่มพูดภาษาเดียวกัน มีวัฒนธรรมพื้นถิ่นร่วมกัน และเคยใช้ชีวิตผสมผสานในชุมชนเดียวกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
เบลเยียมได้ออกแบบ “ระบบแบ่งแยกเชิงชนชั้น” ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยสนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยทุตซีขึ้นครองอำนาจบริหาร ทั้งในระดับราชสำนัก ท้องถิ่น และการศึกษา โดยมีเหตุผลอ้างว่า ทุตซี “มีลักษณะใกล้เคียงกับชาวยุโรปมากกว่า” และ “มีความสามารถในการปกครองเหนือกว่าฮูตู” จากความคิดดังกล่าว จึงมีการแจกจ่ายบัตรประชาชนที่ระบุชนชั้นอย่างชัดเจน และจำกัดสิทธิในการศึกษา การเข้ารับตำแหน่งราชการ และการเข้าถึงโอกาสสำคัญของชนกลุ่มฮูตูอย่างเป็นระบบ
ระบบการปกครองโดยทุตซีภายใต้ร่มเงาของเจ้าอาณานิคม จึงกลายเป็นสาเหตุของความบาดหมางที่ค่อย ๆ สะสมในใจของคนส่วนใหญ่ ความไม่พอใจ ความอับอาย และความรู้สึกว่าตน “ถูกปกครองโดยคนส่วนน้อยที่ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน” ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นเชื้อไฟที่รอวันปะทุ
กระทั่งในช่วงปลายทศวรรษ 1950 ท่ามกลางกระแสเรียกร้องอิสรภาพจากอาณานิคมทั่วแอฟริกา เบลเยียมได้ตัดสินใจถอนตัวจากรวันดาอย่างฉับพลัน โดยไม่มีการเตรียมความพร้อม ไม่มีการถ่ายโอนอำนาจอย่างรัดกุม และไม่มีการวางรากฐานโครงสร้างประชาธิปไตยให้กับประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งสะสม สิ่งที่เบลเยียมทิ้งไว้มีเพียงโครงสร้างสังคมที่บิดเบี้ยว บัตรประชาชนที่บ่งชี้เชื้อชาติ และความไม่ไว้วางใจที่ฝังแน่นระหว่างเพื่อนบ้าน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่รวันดาได้รับเอกราชในปี 1962 ชนกลุ่มฮูตูซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศ ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในรัฐบาลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ด้วยความรู้สึกคั่งแค้นและเจ็บปวดที่สะสมมา ชนกลุ่มเดิมที่เคยอยู่ใต้การปกครองของทุตซีภายใต้เบลเยียมจึงเริ่มตอบโต้ผ่านกลไกของรัฐ รวมถึงการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มทุตซีที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศ
เกิดการปะทะ การล้างแค้น และการกวาดล้างซึ่งกระจายตัวเป็นระลอกตลอดทศวรรษ 1960–1980 ทุตซีจำนวนมากต้องหลบหนีออกนอกประเทศกลายเป็นผู้ลี้ภัยในยูกันดาและประเทศเพื่อนบ้าน แต่ความขัดแย้งไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น หากกลับก่อตัวเป็นวัฏจักรแห่งความไม่ไว้วางใจที่ฝังรากอยู่ในโครงสร้างอำนาจ นำไปสู่การกีดกันทางเศรษฐกิจ การศึกษาที่ไม่เท่าเทียม และการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อซึ่งค่อย ๆ ปลูกฝังความเกลียดชังในระดับจิตใต้สำนึก
โศกนาฏกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 จึงมิได้ถือกำเนิดจากเหตุบังเอิญ หากแต่เป็น ผลสืบเนื่องของโครงสร้างอำนานิคมที่แบ่งแยกมนุษย์ตามเชื้อชาติอย่างเป็นระบบ ความบาดหมางไม่ได้เริ่มต้นจากประชาชน แต่เริ่มต้นจากผู้ปกครองภายนอกที่ใช้การแบ่งเพื่อปกครอง (divide and rule) เป็นเครื่องมือ และเมื่อผู้มีอำนาจจากไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ สิ่งที่หลงเหลือไว้จึงไม่ใช่เพียงซากของสถาบัน หากเป็นความไม่ไว้ใจ ความหวาดระแวง และความรุนแรงที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
การก่อตั้ง RPF และการกลับมาของผู้ลี้ภัย : ความหวังที่สะสมอยู่ในรอยแผล
หลังเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงทศวรรษ 1960 ชาวทุตซีจำนวนมากในรวันดาต้องระหกระเหินออกจากประเทศบ้านเกิดกลายเป็นผู้ลี้ภัยกระจัดกระจายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ยูกันดา บุรุนดี แทนซาเนีย และเคนยา หลายครอบครัวไม่เคยได้กลับบ้านอีกเลย ขณะที่ลูกหลานเติบโตขึ้นในดินแดนแปลกหน้า ภายใต้สถานะที่เปราะบางในเชิงกฎหมาย เศรษฐกิจ และอัตลักษณ์
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของชีวิตผู้ลี้ภัย ความคิดในการรวมตัวกันเพื่อ “กลับคืนบ้านเกิด” ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน นำโดยกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากรวันดาแต่ยังคงผูกพันกับรากเหง้าและเรื่องเล่าของครอบครัว กลุ่มผู้นำเหล่านี้เชื่อว่า การกลับบ้านต้องไม่ใช่แค่ความฝัน หากแต่เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้
ในปี 1987 ณ กรุงคัมปาลา ประเทศยูกันดา กลุ่มผู้อพยพชาวรวันดาได้ก่อตั้งองค์กรการเมืองและทหารภายใต้ชื่อว่า แนวร่วมรักชาติรวันดา (Rwanda Patriotic Front หรือ RPF) โดยมีเป้าหมายหลักคือ การกลับสู่รวันดาอย่างมีศักดิ์ศรี การสร้างรัฐที่เป็นธรรม และการยุติการแบ่งแยกเชื้อชาติ สมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้เป็นชาวทุตซีพลัดถิ่นที่เติบโตในยูกันดา และหลายคนเคยเป็นทหารในกองทัพยูกันดา ทำให้ RPF ไม่ได้มีเพียงอุดมการณ์ แต่ยังมีทักษะเชิงยุทธศาสตร์และเครือข่ายที่เข้มแข็ง
พอล คากาเม (Paul Kagame) คือหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งที่มีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านของ RPF จากองค์กรใต้ดินสู่กองกำลังติดอาวุธที่มีเป้าหมายทางการเมืองชัดเจน ภายใต้การนำของคากาเม RPF ได้สร้างกองกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพสูง มีวินัย และมีเป้าหมายที่ยึดมั่นในหลักของความยุติธรรมแทนการแก้แค้น ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินการทุกขั้นตอน
ในเดือนตุลาคม ปี 1990 RPF ตัดสินใจเปิดฉากการเคลื่อนพลข้ามพรมแดนจากยูกันดาสู่รวันดา จุดประกายสงครามกลางเมืองที่กินเวลานานเกือบ 4 ปี แม้การเคลื่อนไหวในช่วงแรกจะถูกตอบโต้จากรัฐบาลฮูตูอย่างรุนแรง แต่มวลชนจำนวนไม่น้อยในประเทศเริ่มตื่นตัวต่อแนวคิดของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ต้องการกลับมาเพื่อสร้าง ไม่ใช่เพื่อทำลาย
ระหว่างปี 1990–1993 ทั้งสองฝ่ายได้เปิดการเจรจาหลายครั้ง โดยเฉพาะที่เมืองอารูชา (Arusha) ประเทศแทนซาเนีย ซึ่งลงเอยด้วยการลงนามใน ข้อตกลงสันติภาพอารูชา (Arusha Accords) ที่มุ่งมั่นจะจัดตั้งรัฐบาลผสมและบูรณาการกองกำลังของ RPF เข้าสู่ระบบทหารแห่งชาติของรวันดาอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้กลับกลายเป็นชนวนระเบิดความกลัวสำหรับฝ่ายสุดโต่งในรัฐบาลฮูตู ซึ่งมองว่าการเปิดทางให้ RPF กลับมาเท่ากับการสูญเสียอำนาจ
จากจุดนั้นเอง สื่อหัวรุนแรงและกลุ่มการเมืองสุดโต่งจึงเริ่มปลุกระดมความเกลียดชังผ่าน Hate Speech ปี 1993 คือจุดเริ่มต้นของการระดมความเกลียดชังอย่างเป็นทางการ เมื่อมีการจัดตั้งสถานีวิทยุชื่อว่า Radio Télévision Libre des Mille Collines (RTLM) ซึ่งถูกควบคุมโดยกลุ่มการเมืองหัวรุนแรงและนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล RTLM ไม่ใช่เพียงสื่อกระแสหลัก แต่กลายเป็นคลื่นของอุดมการณ์สุดโต่งที่เข้าถึงชาวบ้านในทุกพื้นที่ของประเทศ
รายการจาก RTLM แฝงคำพูดดูเหมือนสันทนาการ เช่น การเล่นเพลงสมัยนิยม รายการข่าวหรือบทวิจารณ์การเมือง แต่กลับบรรจุ Hate Speech ไว้อย่างแนบเนียนในทุกวัน พวกเขาใช้คำว่า “แมลงสาบ” (Inyenzi) ในการเรียกชาวทุตซี และเปรียบเปรยว่าต้องถูกกำจัดเสียก่อนที่จะกลับมายึดประเทศ RTLM ยังรายงานข่าวปลอม ปลุกระดมความหวาดกลัว เช่น อ้างว่าทุตซีจะล้างแค้นและสังหารหมู่ชาวฮูตูหาก RPF ชนะสงคราม
และในยุคก่อนปี 1994 นี่เอง ที่ความเชื่อทางชีวภาพซึ่งเบลเยียมทิ้งเป็นมรดกบาปเอาไว้ถูกนำกลับมาใช้อย่างจงใจอีกครั้ง โดยสื่อหัวรุนแรง Kangura และสถานีวิทยุ RTLM ซึ่งมักจะพูดถึงความสูงของจมูก หรือ ความเรียวของใบหน้า ของทุตซี เพื่อสร้างภาพจำในจินตนาการว่า ศัตรูนั้นมีหน้าตาอย่างไร การบรรยายเช่นนี้ช่วยให้ประชาชนที่คลางแคลงใจเริ่มมีจุดยึดทางสายตา และใช้ลักษณะภายนอกในการตัดสินว่าใครคือฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ในความเป็นจริงลักษณะทางพันธุกรรมของประชากรทั้งสองกลุ่มมีความหลากหลายปะปนกันอย่างแนบแน่น
การทำให้โครงหน้ากลายเป็นอาวุธทางอุดมการณ์ เป็นหนึ่งในเทคนิคอันตรายที่สุดของการปลุกปั่น เพราะเมื่อความเกลียดมีใบหน้า มันจึงง่ายต่อการล่าและยากต่อการยับยั้ง
การใช้ชีววิทยาเทียมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่เพียงส่งผลให้ความเกลียดกลายเป็นรูปธรรม แต่ยังเปิดทางให้ประชาชนธรรมดาจำนวนมากรู้สึกว่า การกำจัดศัตรูเป็นเรื่องที่มีเหตุผลรองรับ เป็นหน้าที่ของพลเมือง และสามารถลงมือได้ด้วยความชอบธรรม
นอกจาก RTLM สื่อสิ่งพิมพ์หัวรุนแรง เช่น Kangura ก็มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมอารมณ์ชาตินิยมสุดโต่งในอีกหลายมิติ โดยเฉพาะบทความที่เผยแพร่ในปี 1990 ที่ชื่อว่า “The Hutu Ten Commandments” หรือ “บัญญัติ 10 ประการของฮูตู” ซึ่งเป็นเอกสารปลุกปั่นที่เรียกร้องให้ชาวฮูตูไม่สมรส ไม่ทำงานร่วม และไม่ไว้ใจชาวทุตซีในทุกกรณี เอกสารนี้ถูกแจกจ่ายในวงกว้างและมีอิทธิพลอย่างมากในการกดดันให้เกิดการแบ่งแยกในสังคมทุกระดับ
การบ่มเพาะอุดมการณ์สุดโต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไร้ทิศทาง แต่ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ ร่วมมือกันระหว่างผู้นำการเมือง ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจ และนักข่าว สื่อกลายเป็นเครื่องมือผลิตศัตรูในจินตนาการให้กับประชาชนทั่วไป โดยใช้กลไกของความกลัว ความไม่รู้ และความไม่มั่นคงเป็นเชื้อเพลิง
ประชาชนจำนวนมากเริ่มเชื่อว่า หากไม่กำจัดก่อนก็จะถูกกำจัดในภายหลัง ความเกลียดชังที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องในทุกวัน กลายเป็นความเชื่อที่ฝังลึกในระดับจิตใต้สำนึก และนำไปสู่การปลุกระดมระดับชุมชนที่ชาวบ้านเชื่อว่าการฆ่าเพื่อนบ้านที่เป็นทุตซีคือหน้าที่เพื่อปกป้องตนเองและประเทศชาติ
สิ่งเหล่านี้ปูทางไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์รวันดา… การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 เมื่อประธานาธิบดี ฌูเวนัล ฮาเบียริมานา (Juvénal Habyarimana) เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 6 เมษายน 1994 ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นฝีมือจากฝ่ายในรัฐบาลเอง กลุ่มหัวรุนแรงจึงใช้โอกาสนั้นประกาศให้ประชาชนกำจัดศัตรูชาติในทันที RTLM เริ่มออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง เผยแพร่รายชื่อบุคคลที่ต้องฆ่าและคำแนะนำในการใช้พร้าสังหารผู้คนอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายในเวลาไม่กี่วันหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดี คลื่นวิทยุที่เคยเปิดเพลงกลายเป็นเสียงปลุกระดมให้เพื่อนบ้านฆ่าเพื่อนบ้าน และเสียง “แมลงสาบต้องตาย” กลายเป็นเสียงพื้นหลังของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โลกไม่อาจลืม
ระหว่างที่ประชาชนล้มตายทั่วประเทศ กองกำลัง RPF ซึ่งขณะนั้นยังประจำการอยู่ตามแนวชายแดนทางเหนือ ได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อยุติการสังหารหมู่ และภายในเวลาไม่ถึง 100 วัน RPF สามารถยึดอำนาจรัฐและยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จ แม้จะเป็นชัยชนะทางทหาร แต่สิ่งที่ RPF ต้องเผชิญต่อจากนั้นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นหลายเท่า การรวมประเทศที่แตกเป็นเสี่ยงเข้าด้วยกันใหม่
RPF ซึ่งเริ่มต้นจากความหวังของผู้ลี้ภัย จึงกลายมาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ของรวันดา ที่มีพันธกิจไม่ใช่เพียงการบริหารประเทศ แต่ต้องฟื้นฟูจิตวิญญาณของชาติ เยียวยาความไว้ใจ และวางรากฐานของประเทศที่ไม่แบ่งแยกอีกต่อไป
บทเรียนของรวันดาในครั้งนี้ จึงมิใช่เพียงประวัติศาสตร์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่คือคำเตือนชัดเจนที่สุดในยุคปัจจุบันว่า
เมื่ออคติปลอมถูกทำให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์ และเมื่อวิทยาศาสตร์ถูกใช้เพียงเพื่อแบ่งแยก ความสูญเสียที่ตามมา อาจไม่ใช่แค่ความเข้าใจผิด…แต่คือชีวิตของผู้บริสุทธิ์นับล้าน
เมื่อสื่อไร้จริยธรรม และอุดมการณ์สุดโต่งได้รับอำนาจควบคุมความคิด ความเป็นมนุษย์สามารถพังทลายได้ในเวลาอันสั้น
หากประชาธิปไตยไม่มีภูมิคุ้มกัน
หากเสรีภาพไม่มีกรอบจริยธรรม
และหากการโฆษณาชวนเชื่อกลายเป็นนโยบายรัฐ
สิ่งที่เหลืออยู่ อาจไม่ใช่ประเทศ
แต่คือซากของความเป็นทนุษย์ที่ยากจะกอบกู้กลับมา
ที่มา : ดร.วีรณัฐ โรจนประภา