EU เผือกอะไรถึงลงมติประณามไทยกรณีการเนรเทศชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน

           ประเด็นเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยกลับมาเป็นประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) สภายุโรป ณ เมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส มีมติด้วยคะแนนเสียง 482 ต่อ 57 และงดออกเสียง 68 เสียง ประณามประเทศไทยจากกรณีการเนรเทศชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเยาวชน นักการเมือง และนักกิจกรรมทางการเมือง

           ผลการโหวตด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นลงมติประณาม(รัฐบาล)ไทย โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องการตัดสินใจของประเทศไทยในการส่งชาวอุยกูร์จำนวน 40 คน กลับประเทศจีน โดยในแถลงการณ์ระบุว่า ชาวอุยกูร์ดังกล่าวถูกกักขังในประเทศไทยเป็นเวลานานกว่า 11 ปี และยังมีชาวอุยกูร์จำนวน 5 ราย ที่เสียชีวิตเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในสถานกักตัวและการขาดแคลนการดูแลทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ

           โดยสภายุโรปมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศภายใต้ หลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย

           หนึ่งในผู้ขึ้นมาอภิปรายบอกว่า \”To have a good partnership, we have to have to shared values\” หรือ ถ้าเราจะเป็นพันธมิตรกับ เราต้องให้คุณค่ากับสิ่งเดียวกันด้วย ซึ่งการที่รัฐบาลไทยทำแบบนี้ ขัดต่อสิ่งที่อียูให้คุณค่าเป็นอย่างยิ่งคือสิทธิมนุษยชน

           พูดง่ายๆ คือ \”ถ้าเรามีเพื่อนแล้วเพื่อนเรายังทำตัวแบบนี้ไม่เลิก ยิ่งคบต่อยิ่งรู้นิสัยว่าศีลไม่เสมอกัน เรายังจะอยากคบมันอยู่มั้ย ?\”

           โดยระบุด้วยว่าอียูจะต้องทำมากกว่าแค่วิจารณ์ไทย เพราะที่ผ่านมาก็ล่าช้ามาหลายครั้งแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทางอียูจะต้องใช้มาตรการในการตอบโต้กับ \”ข้าราชการที่ไร้หน้า” (Faceless bureaucrat) ของประเทศไทยได้แล้ว ที่ผ่านมาไทยได้ทำหลายเรื่องที่น่ากังวลมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรา 112 อย่างรุนแรง การแจกข้อหาให้นักการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

           ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการอภิปรายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาข้อตกลง FTA ระหว่าง EU และประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยเน้นย้ำว่าผลลัพธ์ของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีนั้นมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงการเคารพประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศภาคีด้วย

———

           บางคน อาจจะหลายคนคงอยากถามว่า \”แล้วอียูเสือK อะไร ?\”

           EU ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไทยเพราะอยาก “แทรกแซง” แต่เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และเรื่องนี้ยังส่งผลต่อการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย

           1. ค่านิยมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

           EU ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างมาก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่กำหนดท่าทีและนโยบายระหว่างประเทศของพวกเขา

           2. ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้า

           EU เป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ของไทย โดยมีการเจรจา FTA ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่เงื่อนไขสำคัญของข้อตกลงเหล่านี้คือ ประเทศคู่ค้าต้องปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

           3. การปกป้องภาพลักษณ์และอิทธิพลของชาติตะวันตก

           EU ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนในฐานะ “ผู้สนับสนุนประชาธิปไตย” และสร้างอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หาก EU เพิกเฉยต่อปัญหาในไทย อาจทำให้พวกเขาถูกมองว่าเลือกปฏิบัติหรือไม่จริงใจต่อหลักการ

           4. เสถียรภาพในภูมิภาค

           EU มีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับอาเซียน หากประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น ไทย มีปัญหาด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาค ซึ่ง EU ต้องการหลีกเลี่ยง

—–

           แล้วไทยไม่ต้องแคร์ EU ได้มั้ย ?

           ได้! ถ้ารับผลกระทบเหล่านี้ได้

\"🤨\" FTA อาจหยุดชะงักหรือเงื่อนไขเข้มงวดขึ้น (เวียดนามได้ FTA กับอียูไปหลายปีแล้ว ไทยยังไม่ไปไหน)
\"🤨\" ไทยอาจถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจบางส่วน แบบที่เคยคว่ำบาตรการประมงไทย (IUU Fishing)มาแล้ว
\"🤨\" ภาพลักษณ์ทางการทูตเสียหายยับเยิน ประเทศขาดความน่าเชื่อถือ นานาประเทศจะเริ่มตั้งคำถามว่าหากไทยรับปากเรื่องนั้นเรื่องนี้ พวกเขาจะทำหรือเปล่า หรือไทยจะหักหลังเราไหม
\"🤨\" ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกอาจถดถอย เสียโอกาสทางความร่วมมือด้านการค้าและเทคโนโลยีจาก EU
\"🤨\" เสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ

จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร การค้าไทย-สหภาพยุโรป หรืออียู 27 ประเทศ ในปี 2567 ล่าสุด มีมูลค่าการค้ารวมในรูปเงินบาท 1.77 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.49% เมื่อเทียบกับปีก่อน

           โดยไทยส่งออก 995,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.15% นำเข้า 774,248 ล้านบาท ลดลง 1.00% ไทย \”ได้ดุลการค้า\” จากอียู 221,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94.58%

           แต่กับจีน ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากับจีนเร็วมากที่สุดในโลก (เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ)

– ปี 2566 ไทยขาดดุลการค้าจีน 1.3 ล้านล้านบาท
– ปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีน 1.6 ล้านล้านบาท

เรียกได้ว่า เพียงปีเดียว ไทยขาดดุลการค้ากับจีน เพิ่มขึ้นราว 300,000 ล้านบาท

ขายของให้อียูทั้งปี ยังไม่เท่าที่ขาดทุนจากจีน หาเงินมาได้เท่าไหร่ยังไม่พอที่เสียให้จีน แต่ไทยยังมีท่าทีเกรงใจจีนอย่างมาก แต่บอกว่าอียูไม่ต้องมายุ่ง ประเทศไทยมีเอกราช? ต้องแยกแยะด้วยนะว่าเอกราชกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มันมีมากกว่าความสัมพันธ์ไทยและจีน หรือจะคบกันแค่สองประเทศ? \"🤔\"

คุ้มไหมที่ทำลงไป ?

ปล. เขาไม่ได้ประณามประเทศเดียวหรอกนะ ซูดานและอาเซอร์ไบจานก็โดนเช่นกัน กอดคอไปด้วยกันเลย ประเทศที่มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน อยากด่าเขาว่าเสือkก็อยากด่า แต่ก็อยากจะขายของเขาด้วย สมาชิกนั่น สมาชิกนี่ก็อยากจะเป็นกับเค้า สิทธิทางการค้าก็อยากได้ นักท่องเที่ยวก็อยากได้ แต่ฟังอยู่ประเทศเดียวคือจีน สาธุ คนไทยจะมีกินมีใช้กี่โมง ? \"😂\"

อ่านสรุปการประชุมได้ที่นี่ \"👉\"https://www.europarl.europa.eu/…/human-rights-breaches…
และ Debate meeting minutes ที่นี่ \"👉\"https://www.europarl.europa.eu/…/RC-10-2025-0174_EN.html

.

ที่มา : FB-เบลเยียมวันนี้มีอะไร