เสียงบ่นจาก ด้วง-ด้วงฤทธิ์​ บุนนาค ความยากในการเข้ามาทำงานของรัฐบาลเพื่อไทย​ หลัง 10 ปี ที่ปัญหาหมักหมม \”เศรษฐกิจเน่าถึงราก คอรัปชั่นหยั่งรากลึก\”

           ความยากในการเข้ามาทำงานของรัฐบาลชุดนี้ มีสองสามเรื่องด้วยกัน

           เรื่องแรก คือ รัฐบาลเข้ามาทำงานได้แค่ปีกว่า แต่คนรู้สึกว่าอยู่มานานแล้ว เพราะไปรวมเอาเวลาเอานายกฯ คนที่แล้วไว้ด้วย เอาเรื่องจริงคือในสมัยคุณเศรษฐา รัฐบาลสั่งการอะไรไป ข้าราชการไม่ปฏิบัติตามเลย เพราะเขาคิดกันตลอดเวลาว่ารัฐบาลยังไม่มีเสถียรภาพ เดี๋ยวขั้วอำนาจเดิมจะกลับมา ก็ดูทิศทางลมกันอยู่ ไม่ยอมขยับ มาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ข้าราชการเองก็เพิ่งเริ่มขยับตัวกันจริงๆ ก็หลัง 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา หลังศาลวินิจฉัยคดีคุณทักษิณ

           เรียกได้ว่ารัฐบาลมีอำนาจบริหารจริงๆ ได้แค่ 4 เดือน เพราะความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นหลัก นักร้องฟ้องกันเพื่อรีดไถ ประเทศมันก็เลยเดินหน้าสลับหยุดนิ่งกันมานานมาก เพิ่งได้เดินหน้ากันสมัยนายกแพทองธารกันมาได้ไม่กี่เดือน แกเริ่มจัดการการเมืองได้นิ่ง เด็ดหัวคนสร้างความวุ่นวายไปเรื่อยๆ นับว่าแกเด็ดขาดอยู่เรื่องนี้
           เรื่องที่สอง คือ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่หมักหมมอยู่ 10 กว่าปีนี่ มันเน่าไปถึงราก ระบอบคอรัปชั่นมันหยั่งรากลึกมาก และเข้าไปสูบเงินประชาชนเข้ากระเป๋าในระดับโครงสร้าง ข้าราชการดีๆ ท้อแท้กันไปหมด ระบบการบริหารราชการง่อยเปลี้ยเสียขา ผมได้เข้ามาทำงานร่วมกับรัฐบาลแค่ผิวเผิน ยังยากลำบากกับการผลักดันนโยบายผ่านระบบข้าราชการเหล่านี้ การขับเคลื่อนในภาพรวมจึงไปได้ช้ามาก เพิ่งมาออกตัวจริงก็เมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานอื่นอย่างแบงค์ชาติก็ไม่ตอบสนองนโยบายใดๆ เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจเลย คิดแบบคนรวย กลัวเงินเฟ้ออย่างเดียว ดอกเบี้ยไม่ยอมลดต้องด่ากันต่อเนื่องอยู่สองรัฐบาลถึงได้ยอม ชาวบ้านอดตายช่างมัน TDRI ก็สนใจแต่ว่ารัฐจะเก็บภาษีได้มากกว่าสนใจว่าคนไทยจะทำมาหากินได้มีประสิทธิภาพหรือเปล่า
           เราต้องบริหารนโยบายกันบนบริบทแบบนี้ มันยากจริง
           รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นต้นตอของปัญหานี้จริงๆ เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยข้าราชการ เพื่อให้ข้าราชการมีอำนาจมากกว่ารัฐบาล ทำให้รัฐบาลมีอำนาจน้อยมากในการสั่งการและไม่สามารถทำงานในวิธีที่ยืดหยุ่นไปกับสถานการณ์ได้เลย ต้องใช้งบประมาณกันตามแบบที่เคยทำกันมานิ่งๆ กันไป ขยับตัวยากมาก จะมีอยู่ไม่กี่กระทรวงที่คล่องตัวกว่าเพื่อน เช่น กระทรวงท่องเที่ยวฯ กระทรวงพาณิชย์ หรือกระทรวงวัฒนธรรม ที่มีสำนักเพื่อให้งบส่งเสริมตามนโยบาย กระทรวงอื่นคืออยู่ใน limbo มาก แทบจะเข้าไปบริหารตามนโยบายไม่ได้เลย
           การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศมันจึงเดินไปได้ช้ามาก แค่แนะนำให้ลดดอกเบี้ย ยังต้องใช้เวลาเกือบปี ลดลงมาให้นิดหน่อย
           ผมฟังอาจารย์ท่านหนึ่งวิจารณ์ว่ารัฐบาลมีแต่ขายฝันแล้วก็กลุ้มใจ ผมคิดว่ารัฐบาลต้องทำงานสองเรื่องไปพร้อมๆ กัน คือ การมองไปข้างหน้า และก็ซ่อมสิ่งที่เสีย การมองไปข้างหน้าโดยเป็นการสร้างโอกาสสำหรับการลงทุน เป็นงานยากที่ต้องทำงานหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน เอาเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ เป็นสิ่งที่เราแทบไม่ได้ทำเลยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ก็ในสมัยรัฐบาลที่อาจารย์แกเชียร์นั่นแหละที่ทำประเทศเราอาการหนักอยู่ แล้วกว่าจะเห็นผลก็อีกจะ 5-10 ปี ไม่ทันเลือกตั้งสมัยหน้าแน่นอน แต่ก็ต้องทำ ไม่ใช่ผลทางการเมือง แต่เพื่อเศรษฐกิจระดับโครงสร้างของประเทศ เรื่อง soft power ก็เป็นเรื่องการสร้างคน สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจจากรากสู่ใบ จากวัฒนธรรมกลายเป็นทุน ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เห็นผลเร็วเช่นกัน โครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ก็เป็นเรื่องวิสัยทัศน์เพื่อการลงทุนซึ่งก็ใช้เวลาอีกเป็นสิบปี กว่าจะเห็นผล
           ที่ยากกว่าคือการซ่อมสิ่งที่เสีย “หนี้” ในทุกระดับคือปัญหาที่หยั่งรากลึกที่สุดในเรื่องเศรษฐกิจขณะนี้ SME กว่า 13 ล้านราย เกือบทั้งหมดกำลังจมกองหนี้ และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นหนี้จนไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้อีกต่อไป รัฐบาลขับเคลื่อนเรื่องนี้ช้าเกินไปจริงๆ และความร่วมมือของสถาบันการเงินต่างๆ ในเรื่องนี้ก็ดำเนินไปอย่างไม่รีบ เพราะรีบมากก็เจ็บตัวมาก จะมีก็สถาบันการเงินรัฐ หรือ SME Bank ที่ออกมาตรการที่เป็นประโยชน์มาบ้าง แต่ก็อ่อนประชาสัมพันธ์มากจนคนส่วนใหญ่แทบไม่รู้เลย บสย. ที่ควรจะช่วย SME ก็เล่นบทเป็นธนาคารตามทวงหนี้ ต้องสู้กันเล็กน้อยถึงจะเริ่มฟัง การแก้ปัญหาเรื่องหนี้ ยอมรับเลยว่ารัฐบาลยังแก้ปัญหาได้ผิวเผินมาก ที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดน่าจะเป็นมาตรการกระตุ้น 10,000 บาท มีคนรอดตายเพราะเงินหมื่นบาทนี่เยอะมาก แต่อานิสงส์ของมาตรการต่างๆ ยังมาไม่ถึง SME เลย ถ้าอาจารย์แกกลับมาวิจารณ์ตรงนี้ ผมว่ายังจะแฟร์เสียกว่า
           อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องที่มีเหตุผลในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาครับ คนที่จะไปแนะนำรัฐบาลส่วนใหญ่ก็ควรจะเป็นคนที่เห็นปัญหาที่รัฐบาลไม่เห็น หรือเคยทำมาก่อนแล้วคิดว่ามาผิดทางแล้วจะแนะนำกัน อันนี้ผมคิดว่าสร้างสรรค์ แต่ถ้าจะอภิปรายกันเพื่อโจมตี ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเพื่อเรียกคะแนนเสียงเอาบุพการีมาด่ากัน ผมว่าอันนั้นมันก็ไม่สนุก ถึงขั้นจะล้มรัฐบาลเลย ผมว่าวันนี้มันน่าจะยังไปไม่ถึงตรงนั้น เรื่องนี้มันก็ดาบสองคมนะครับ มีประเด็นดีๆ มันก็ดีไป แต่ถ้าประเด็นไม่โดนใจ ชาวบ้านเขาก็จะว่าเสียเวลาทำมาหากิน ต้องคิดให้ดีครับ

           จากหาเสียงจะกลายเป็นเสียงหาย

ที่มา : FB-ดวงฤทธิ์​ บุนนาค