วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ บ้านหนองทราย ม.6 ต.หนองสาหร่าย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี นายทวิช เที่ยวมาพบสุข นายอำเภอพนมทวน เป็นประธานในงานพร้อมร่วมขับรถไถ เพื่อไถกลบตอซังพืช มีนายวันชัย สินประเสริฐ ผอ.สถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรี กล่าวรายงาน โดยในงานยังมีนายวีระศักดิ์ สุขทอง เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี นายชยุติ โสไกร หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต นายศิวโรฒ จิตนิยม ประธานสถาบันการเงินชุมชน ต.หนองสาหร่าย และธนาคารความดี เกษตรอำเภอ เกษตรตำบล ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน หมอดินอาสา และเกษตรกร เข้าร่วมงานกันอย่างคึกคักซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้ดำเนินการพร้อมกัน 72 จังหวัด ทั่วประเทศ ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการเผา (Hot Spot)โดยมีศูนย์กลางการจัดงาน ที่ จังหวัดเชียงใหม่ และถ่ายทอดอดสดไปยังพื้นที่จัดงาน 71 แห่ง ผ่านระบบ Zoom conference Meeting และ Facebook live
ด้านนายวันชัย สินประเสริฐ ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรี เผยว่า ประเทศไทยประสบปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากวัสดุทางการเกษตรและพื้นที่ป่าไม้ เพื่อเตรียมแปลงปลูกพืชในฤดูถัดไป การที่เกษตรกรเลือกใช้วิธีการกำจัดเศษวัสดุโดยวิธีการเผา เนื่องจากเกษตรกรไม่มีทุนเพิ่มเพื่อกำจัดเศษวัสดุในวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเผาเศษวัสดุเป็นการสร้างมลพิษทางอากาศนำไปสู่ภาวะโลกร้อน พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม สูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน ทำลายโครงสร้างดินที่เหมาะสม และทำลายห่วงโซ่อาหาร
กรมพัฒนาที่ดิน เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกรลด ละ เลิก การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร จึงได้จัดงาน \”ไถกลบตอชัง สร้างดินยั่งยืน ฟื้นสิ่งแวดล้อม\”ประจำปี 2568 เพื่อสร้างความตระหนักให้เกษตรกร ทำเกษตรกรรมที่ไม่เผาฟางและตอซังพืช ช่วยให้คุณสมบัติของดินดี ไม่ถูกทำลาย เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน รวมทั้งช่วยลดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง ลดผลกระทบต่อการเกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย
ขณะเดียวกันมีชาวไร่รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า หากเราไม่เผาเราก็ไถที่ไม่ได้ ต้นอ้อยพอตัดเสร็จแล้วเผาใบแล้วก็นำเอารถมาขูดร่องแล้วปล่อยน้ำเขาไร่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นอ้อยจะตายหมดเพราะมันแล้ง หลังจากที่เราเผาเสร็จแล้วยกร่องพออ้อยโตเราก็เริ่มให้ปุ๋ยให้น้ำ ถ้าเกิดไม่เผาแล้วยกร่องน้ำก็จะเต็มร่องไม่จายไปทั่วไร่ ต้องลองให้มาทำดูว่ามันยากแค่ไหน ถ้าไม่ให้จุดขอตายดีกว่า
ในส่วนที่มีการเข้ามารับซื้อใบอ้อยไร่ละ 100 บาท ไม่มีใครอยากได้เงิน 100 บาท แต่ไม่ได้ดูถูกเงินเพราะว่าตออ้อยโตเท่าเอวแล้วใบอ้อยที่เราตัดมันยาวก็ยังไม่คนมาปั่นใบอ้อยเราไปเลย ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นหากเราต้องนำรถมาขูดเราต้องลงทุนเยอะ ปัญหาทุกเรื่องที่ทางรัฐบอกมามันจริง ไม่จุดมันก็ดีอ้อยก็งาม แต่เราจุดเราก็ใส่ปุ๋ยใส่น้ำอ้อยมันก็โตสวย สูงถึงยอดมะพร้าวขายก็ได้ราคาดีไร่ละ 18,000 – 19,000 บาท แต่ที่พูดมาทั้งหมดหากเราทำแบบที่ว่าอ้อยไม่โต 5,000 ก็ยังไม่มีใครรับซื้อเลย.