
สำนักข่าว UtusanTV มาเลเซีย เผย ทำไมกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ ที่หยุดชะงักไปตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 รัฐบาลไทยจะกลับมาดำเนินการอีกครั้ง โดยมีมาเลเซียให้ความช่วยเหลือในฐานะผู้อำนวยความสะดวก หลังจากที่ตัวแทนกลุ่ม BRN ที่โต๊ะเจรจาไม่มีอำนาจใด ๆ หรือสามารถควบคุมความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทยได้
เป็นเพราะปัจจัยนี้หรือเปล่า เป็นสาเหตุทำให้กระบวนการพูดคุยสันติสุขล้มเหลว แม้ว่าจะดำเนินการมานานกว่า 10 ปีแล้วก็ตาม หรือว่า BRN พยายามล้อเลียนรัฐบาลไทยด้วยการส่งผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติมาพูดคุยหรือไม่?
ผู้เขียนได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหลังจากอ่านรายงานของโซเชียลมีเดียในประเทศไทย Naewnamankhong ซึ่งเปิดเผยผลการหารือระหว่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย กับ Datuk MohdRabin Basir ผู้อํานวยความสะดวกชาวมาเลเซีย ในหารือดังกล่าว นายภูมิธรรม ขอให้นำผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของกลุ่มอย่างแท้จริงหรือแกนนำปีกทหารมาร่วมบนโต๊ะเจรจา ตามรายงานดังกล่าว จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยค่อนข้างจริงจังในการร้องขอ โดยระบุว่าพวกเขายินดีที่จะดำเนินการพูดคุยต่อไป โดยมีเงื่อนไขว่า ฝ่ายBRN ต้องให้ผู้นําหลักที่มีอำนาจในการออกคำสั่งร่วมโต๊ะการพูดคุย BRN ไม่สามารถส่งผู้นําที่ไม่มีอำนาจใด ๆ ได้เนื่องจากก่อนหน้านี้ทุกประเด็นที่พูดคุยในกระบวนการสันติสุขพวกเขาจะต้องนำไปให้ผู้นําสูงสุดตัดสินใจ ที่แย่ไปกว่านั้น ประเด็นที่ตัวแทน BRN นํามาพูดคุยไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่หารือกัน แต่เป็นการกล่าวหา เช่น กล่าวหารัฐบาลไทยขัดขวางไม่ให้ชาวไทยมุสลิมสวมเสื้อชุดมลายู
ด้วยเหตุนี้ จากคำขอของไทยดังกล่าวอาจจะตีความได้ว่า Anas Abdul Rahman/นายหีพนี มะเร๊ะ จากปีกการเมืองที่เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยของ BRN นั้นไม่สามารถตกลงใจในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ได้ ฝ่ายไทยเสนอให้ นายดูนเลาะ แวมะนอ หรือ นายเด็ง อาแวจิ ผู้นําระดับสูงของ BRN เข้าร่วมในกระบวนการพูดคุยรอบใหม่
หากเราอ่านรายงานนั้นแล้ว จะพบว่าคราวนี้รัฐบาลไทยยืนกรานอย่างจริงจัง ที่จะทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ต้องเสียเวลาและพลกำลังต่อพฤติกรรมของฝ่าย BRN ที่โต๊ะพูดคุย แต่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีสัญญาณแม้แต่น้อยว่า BRN จะหยุดการกระทำก่อการร้ายในพื้นที่จังหวักชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
เห็นได้ชัดและสามารถกล่าวได้ว่าทุกวัน รวมถึงในช่วงวันศักดิ์สิทธิ์ของเดือนรอมฎอนและเดือนชาวาล กลุ่ม BRN ยังคงข่มขู่และสังหารผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวไทยมุสลิมหรือชาวไทยพุทธ หากเป็นเช่นนั้น การดำเนินกระบวนการพูดคุยสันติสุขจะมีประโยชน์อะไร? ซึ่งในเมื่อกระบวนการดังกล่าวจัดขึ้นแล้ว คงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้
แต่สถานการณ์ตรงกันข้ามเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าในขณะที่การพูดคุยสันติสุขกําลังดำเนินอยู่แต่ความรุนแรงก็ยังคงปะทุขึ้น มันส่งสัญญาณว่า ผู้นําที่อยู่ในวงการพูดนั้นไม่มีอำนาจที่จะหยุดเหตุการณ์นั้นอย่างแน่นอน ตามรายงานของสื่อมวลชน รัฐบาลไทยเน้นย้ำว่าพวกเขาพร้อมที่จะดำเนินการพูดคุยต่อไป โดยมีเงื่อนไขว่าผู้นํา BRN ที่จะเข้าร่วมในกระบวนการนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ
ไม่ว่ารัฐบาลไทยจะแต่งตั้งหัวหน้าทีมพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าฝ่าย BRN มีความจริงใจมากน้อยเพียงใดในการนําผู้นําระดับสูงมาสู่โต๊ะการพูดคุย
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการพูดคุยในครั้งนี้ จะไม่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องของ BRN ที่พวกเขายินดีที่จะหยุดความรุนแรง หากรัฐบาลไทยจะถอนกําลังทหารออกจากพื้นจังหวัดดังกล่าว การยกเลิกด่านจุดตรวจและจุดสกัด ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายการปิดล้อมและตรวจค้น
จากรายงานของสื่อดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่ต้องการที่จะ “ไว้หน้า” หรือโอนอ่อนต่อกลุ่ม BRN อีกต่อไป หากกลุ่ม BRN มีความจริงใจอย่างแท้จริงในการต่อสู้เพื่อชาวไทยมุสลิม และต้องการสร้างสันติสุข พวกเขาจะต้องนําผู้นําตัวจริงตามที่รัฐบาลไทยต้องการพูดคุย
BRN ไม่ควรกลัวที่จะทำเช่นนั้น เพราะแน่นอนว่ารัฐบาลไทยจะรับประกันความปลอดภัยของผู้นําที่เกี่ยวข้อง หาก BRN แค่ส่งผู้นําที่มีสถานะเป็น “ผู้ส่งสาร” ก็เป็นการดีกว่าที่ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยโดยใช้แอปพลิเคชัน “กลุ่ม WhatsApp” เท่านั้น! ถ้าล้มเหลว ก็คงจะไม่ผิดหวังมากนัก

จนถึงตอนนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าการพูดคุยล้มเหลว และไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรต่อชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ดังนั้นมีประโยชน์อะไรที่รัฐบาลไทยยังคงยอมอะลุ่มอล่วยให้ประเด็นนี้ ในขณะที่กลุ่ม BRN นั้นไม่จริงใจในกระบวนการพูดคุยสันติสุขฯ
ไม่สำคัญว่าอะไรที่ผู้นำ BRN จะมีความคับแค้นใจ แต่ถ้าเขามีความจริงจริงใจในการต่อสู้เพื่อชาวไทยมุสลิม หากเขาต้องการเห็นสันติสุขในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว และหากเขาต้องการอย่างจริงใจให้แน่ใจว่าความรุนแรงจะหยุดลงและไม่มีเลือดของผู้ผู้บริสุทธิ์ไหลในดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยอีกต่อไป ผู้นําตัวจริงจะต้องออกแสดงตนและดำเนินการพูดคุย
แต่หากผู้นําตัวจริงยังดื้อรั้น และ BRN ยังคงถูกมองว่าไม่จริงใจในกระบวนการพูดคุยสันติสุข รัฐบาลไทยก็มีสิทธิที่จะดำเนินการตามอำนาจของตนในฐานะรัฐบาลที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องอธิปไตยในดินแดนของตน
ในประเด็นนี้ มาเลเซียในฐานะผู้อํานวยความสะดวกสามารถให้คำแนะนําต่อกลุ่มBRN เพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐบาลไทยกำหนด
หากมาเลเซียไม่สามารถทำได้ เพราะความดื้อรั้นของ BRN ก็เป็นการดีกว่าที่มาเลเซียจะไม่เป็นผู้อํานวยความสะดวกอีกต่อไป เพราะมันเป็นเพียงงานที่ไร้ประโยชน์ และอย่างน้อยก็ไม่เป็นที่พอใจที่จะได้ยินหากมีข้อกล่าวหาว่าเราอยู่ข้าง BRN
ดังนั้นจึงหวังว่า เพื่ออนาคตของจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ผู้นําที่เป็นตัวจริงของ BRN ควรจะออกมาพูดคุยกับรัฐบาลไทย ในขณะที่มาเลเซียจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง แต่ BRN ไม่สามารถทำให้มาเลเซียเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงเจตจํานงของพวกเขา แต่ต้องตรงไปตรงมากับรัฐบาลไทยผ่านการปรากฏตัวของผู้นําตัวจริงที่มีอำนาจมากที่สุดใน BRN
หากผู้นํา BRN ไม่ปรากฏตัว แต่สบายใจที่จะเก็บตัวอย่างเงียบ ๆ ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า การต่อสู้ของ BRN ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แต่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น เช่นเดียวกับตัวแทน BRN ในกระบวนการพูดคุยสันติสุขก่อนหน้านี้ที่บินไปมา โดยการอ้างว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของชาวไทยมุสลิม
ความจริงก็คือ ในขณะที่พวกเขาอาศัยอยู่ในต่างประเทศอย่างสุขสบาย แต่ชาวไทยมุสลิมยังคงตามล่าหาแสงสว่างแห่งสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และน่าเสียดายที่แสงสว่างยังคงถูกดับโดยกลุ่มที่ยืดหน้าอกที่อ้างว่าต่อสู้เพื่อชะตากรรมของพวกเขา ….
https://utusantv.com/2025/05/11/rundingan-damai-brn-perlu-tampil-pemimpin-tertinggi-yang-boleh-buat-keputusan/?&utm_source=whatsapp&utm_medium=social-media&utm_campaign=addtoany