…นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็ใกล้ถึง การเลือกตั้ง ”นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาจังหวัด“ กันแล้ว สำหรับพื้นที่จังหวัดปัตตานี หากพูดถึงการเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นระดับจังหวัดครั้งนี้ ถือว่ามีการแข่งขันการลงพื้นที่หาเสียงของผู้สมัครนายกฯและสมาชิกฯ ที่ไม่ค่อยแตกต่างกันนัก อยู่ที่ว่า “ใครจะใช้วิชาการหาเสียงอย่างไร“ โดยเฉพาะตำแหน่ง ” นายก อบจ.“ ซึ่งถือว่าต้องหาเสียงกันเหนื่อยเลยทีเดียว เพราะผู้สมัครนายกฯ อบจ.ทั้ง 3 คนต่างบุก ลุย งัดยุทธวิชาออกมาขอเสียงจากประชาชนกันทุกวัน
”เศรษฐ์ อัลยุฟรี “ หรือที่คนปัตตานี เรียกว่า ”สาเหะนาเซ“ ถือเป็นอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี คนที่ 2 ของปัตตานี และยังเป็นอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี มาถึง 5 สมัย คงไม่ต้องนับวันนับปีแล้วว่า นานนับสิบปีที่ครองตำแหน่งเก้าอี้ ”การเมืองท้องถิ่นบ้านใหญ่“ มานานเท่าใด
แต่อยู่นานแค่ไหนก็ย่อมจะมีคำถามที่ว่า ” ทำอะไรบ้าง“ แม้คำว่า “เปลี่ยน” ก็ยังเป็นคำยอดฮิตที่ทุกวงการเมืองมักจะใช้ข่มฝ่ายตรงข้ามที่เป็นอดีต.. ซึ่งเป็นคำหรือประโยคยอดฮิตเมื่อมาถึงเวลาเลือกตั้งอีกครั้ง… แต่การเมืองจะชกนอกเวที หรือจะมีการ “ชกใต้เข้มขัด” บ้างมั่ยนั้น .. เรามาคุยกับเจ้าตัว ถามให้เจ้าตัวตอบด้วยตัวเองว่า ”การกลับมาอีกครั้งในการลงชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานีครั้งนี้ จะสามารถยึดเก้าอี้เดิมไว้ได้หรือไม่ ชูนโยบายอะไรเพื่อสานงานต่อให้พี่น้องปัตตานีอย่างไรบ้าง
นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เบอร์ 1 เปิดเผยถึงการลงสมัครและการหาเสียงครั้งนี้ว่า เราเอาผลจากการดำเนินงานและปัญหาที่ผ่านมามากำหนดเป็นนโยบายที่เราจะเดินต่อ ในการสานต่อเพราะนโยบายมันจะเกิดจากปัญหาแล้วมากำหนดเป็นวิสัยทัศน์และกำหนดเป็นยุทธศาสตร์แล้วเรามาวางแผนเดินหาเสียง ตนชูนโยบายในเรื่องของสุขภาพ เพราะตนเห็นว่าปัญหาสุขภาพเป็นปัญหาที่สำคัญ เมื่อสุขภาพดี ร่างกายก็พร้อมที่จะทำงานสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว เพราะช่วงที่ตนเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตั้งแต่รับ รพ.สต.มา 2 ปี เราเห็นสุขภาพของพี่น้องประชาชนว่ามีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะเราเห็นตรัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ในแต่ละปีในการรักษาสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศนั้น 100,000 กว่าล้านบาท เพราะตนอยู่ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตนทราบ เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาดูว่าสาเหตุของสุขภาพมันส่งผลต่อเศรษฐกิจ รายได้ อาชีพ รวมไปถึงการศึกษาหรือไม่ เมื่อเรารับ รพ.สต.เข้ามาก็เห็นว่ามีความสำคัญที่เราต้องดำเนินการในเชิงรุก ในเรื่องของสุขภาพเพราะภารกิจของ รพ.สต.คือ การส่งเสริม ป้องกันฟื้นฟู เราจะดูทุกเพศทุกวัยรวมไปถึงอาหารการกิน การพัฒนาทางสมองของเด็ก เด็กจะต้องบริโภคอาหารครบถ้วน ดังนั้น รพ.สต.จะเป็นพี่เลี้ยง ในการให้คำแนะนำให้กับผู้ปกครองของเด็ก และการให้วัคซีนป้องกันไม่ให้โรคกระทบกับเด็ก ส่วนในช่วงวัยทำงานไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ต้องคัดกรองโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน เพราะเกิดจากพฤติกรรมจากการบริโภคทั้งสิ้น ฉะนั้นการเข้ามาครั้งนี้ คือการสานต่อในเรื่องของสุขภาพของพี่น้องประชาชนแน่นอน
ในเรื่องของการศึกษานั้น เศรษฐ์ บอกว่า ทาง อบจ. ดูแลโรงเรียนในปัตตานี 2 โรงเรียน เพราะเป็นภารกิจถ่ายโอนมาอยู่กับ อบจ. อย่าลืมว่า ภารกิจถ่ายโอนมันจะมีการเป็นอิสระมาก เราจะพัฒนาอะไรก็ได้ในโรงเรียน เช่น โครงสร้างพื้นฐานพัฒนากายภาพคุณภาพการศึกษา พัฒนาครูหรือส่งครูไปศึกษาในเรื่องของการจัดเรียนการสอน ทักษะการเรียนการสอน เราสามารถจัดหาครูดีดีมาสอนได้ และให้ รพ.สต.มาดูในเรื่องของโภชนาการของเด็กและสุขภาพด้วย และสามารถให้ประชาชน ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนได้ด้วย ผลของการบริหารจัดการด้านการศึกษาของเด็กอย่างเป็นระบบ ภายใต้นโยบาย “สร้างชีวิตก่อนสร้างอาชีพ” จะส่งผลต่อชุมชน ชุมชนก็จะเห็นต่อการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของลูกหลานรวมไปถึงมารยาทคุณธรรมและก็จะยอมรับและศรัทธากระบวนการการศึกษาของ อบจ.
ส่วนประเด็นที่ว่า “ปัตตานีเป็นจังหวัดที่จน” นั้น เราต้องดูว่าที่มันจนเพราะสาเหตุอะไรตั้งแต่ปี 2547 ที่ผ่านมาเราเจอปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมทำให้ชะลอตัว ภาคท่องเที่ยวหยุดชะงัก การบริการลดลงเพราะรายได้หลักของปัตตานีคือ เรื่องของการประมง การเกษตรและการท่องเที่ยว พอปัญหาเรื่องของสถานการณ์จึงส่งผลกระทบ และที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่ง คือการจำกัดการประมง หรือ ไอยูยู ทำให้ภาคอุตสาหกรรมกระทบและชะลอตัว มีการปรับเลิกจ้างงาน ทำให้ประชาชนว่างงาน และการขยายฐานการผลิตไปในพื้นที่อื่นทำให้รายได้ในภาพรวมของจังหวัดลดลงเห็นได้ชัด ฉะนั้นต้องดูว่า อบจ.ทำหน้าที่อะไร อบจ. คือโครงสร้างหนึ่งในกระบวนการของการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในมิติของเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น เพราะมันจะมีหน่วยงานหลายหน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องของเศรษฐกิจและรายได้ของพี่น้องประชาชน ฉะนั้นเราจะต้องดูว่าภารกิจหน้าที่ของตนเองทำได้ขนาดไหน ภายใต้ข้อกฏหมาย ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่ฉะนั้นสิ่งที่ อบจ. ทำก็มี เช่น การต่อยอด สนับสนุนอาชีพเรื่องของวิสาหกิจชุมชน การแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าและการอบรมในเรื่องของตลาดออนไลน์ โดยการบูรณาการกับหน่วยงานของรัฐอย่างเช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หรือในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่ง อบจ. ก็ได้มีการสร้างมัคคุเทศก์ท้องถิ่นขึ้นมา มีการอบรมเพื่อที่จะไปรองรับเรื่องของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อย่าลืมว่าปัตตานีมีเรื่องประวัติศาสตร์ ของดีปัตตานี ไม่ว่าจะเป็นอัตลักษณ์ ประเพณี อาหารการกิน การแต่งกาย ซึ่งมัคคุเทศก์ท้องถิ่นจะได้อธิบายเล่าเรื่องให้กับนักท่องเที่ยวได้ ในส่วนของนักเล่าชาวปัตตานีก็จะเล่าในเรื่องของศาสตร์เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามา ฉะนั้นสิ่งที่ได้ทำมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้จน คือศาสตร์พระราชาก็ได้มีการจัดสรรที่สาธารณะประโยชน์ที่ อบจ.ดูแลให้กับประชาชนที่ยากจนและมีการอบรมสร้างอาชีพ จนทำให้เราได้รับรางวัล “เลิศรัฐ” สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภท ร่วมใจแก้จน ระดับ ดี ประจำปี 2564

“การลงพื้นที่หาเสียงตลอดหลายวันที่ผ่านมาประชาชนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเราหาเสียงในเชิงสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพูดถึงนโยบายหลักที่เกี่ยวกับสุขภาพของพี่น้องประชาชน รวมไปถึงความเป็นอยู่คุณภาพชีวิต ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนก็เห็นว่า เราทำงานมาโดยตลอดและการหาเสียงครั้งนี้ เรารู้สึกได้ว่า ประชาชนดีใจมากที่เห็นว่าเราได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน ที่สำคัญเราพยายามลดในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงการใช้บริการด้านสุขภาพเพราะเราจะต้องยกระดับ รพ.สต. ให้เป็นที่สำหรับดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ภายใต้การบริหารที่มีประสิทธิภาพทั้งผู้ให้บริการและบุคลากรได้รับการพัฒนารวมไปถึงเครื่องมือที่ทันสมัย ฉะนั้นเราต้องสร้างความเชื่อมั่นด้วยบุคลิกและการศึกษารวมไปถึงการทำงานของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา”
เศรษฐ์ เผยอีกว่า การลงพื้นที่หาเสียงที่ผ่านมาเราสังเกตได้จากรอยยิ้มของประชาชน เพราะเราเป็นความหวังของเค้า เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าชาวบ้านมีความพึงพอใจและเข้าใจมีความคาดหวังมากน้อยแค่ไหน
ส่วนในเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ อบจ.นั้น เราไม่สามารถทำได้เต็มที่ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย ระเบียบ อำนาจหน้าที่ กฎกระทรวง มติ ครม. หนังสือสั่งการ หนังสือซักซ้อมทำให้เราไม่สามารถที่จะทำตามความต้องการของประชาชนได้ ถ้าจะทำ ก็ต้องแก้กฎหมาย และยังมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณ อย่าลืมว่าท้องถิ่นมีกี่ภารกิจ มีกี่ยุทธศาสตร์ มีกี่แผนงานโครงการ ต้องแยกในส่วนของงบประมาณ ไม่ใช่จะเหมาทั้งหมดทั้งรายจ่ายซึ่งเป็นเงินเดือนสวัสดิการและรายจ่ายของสำนักงานทั้งหมด งบประมาณทั้งหมดมันมีหลายมิติ เราไม่สามารถทำได้ทั้งหมดเพราะระเบียบ กฎหมาย มติ ครม.เปิดให้เราได้ไหมและข้อจำกัดในเรื่องของบุคลากร ว่าใครอยากจะอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดด้วยสถานการณ์ความไม่สงบ มีอัตราว่างของท้องถิ่นเยอะและเป็นอัตราที่มีความสำคัญของท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นช่างโยธา สถาปนิก เป็นต้น เพราะเป็นตำแหน่งที่หายากและส่วนใหญ่เค้าจะเลือกเอาจังหวัดที่ไม่มีปัญหา สามจังหวัดจะมีตำแหน่งนี้ว่างเยอะที่สุด เปิดสอบก็ได้มาน้อยเพราะจังหวัดอื่นเค้าจะได้บัญชีก่อน คนที่สอบได้ก็จะเลือกไปอยู่ในจังหวัดที่ไม่มีปัญหา ทำให้ตำแหน่งเหล่านี้ทั้ง อบต. เทศบาล และ อบจ.ว่างเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนในการพัฒนา ฉะนั้นในพื้นที่จะมีปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ระเบียบ งบประมาณ และคน !!
…1 กพ.นี้ รอดูกันว่า ผลงานตลอดระยะเวลาที่ได้ทำงานมานั้น เศรษฐ์ อัลยุฟรี ผู้สมัครนายก อบจ.ปัตตานี จะสามารถยึดเก้าอี้กลับมาได้หรือไม่ ก็อยู่ที่พี่น้องชาวปัตตานีเท่านั้น !!