
สื่อดังอย่าง สำนักข่าว UtusanTV ของมาเลเซีย ยังระบุในบทความที่ว่า ความหวังที่จะได้เห็นชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยประกอบศาสนกิจอย่างสงบสุขในช่วงเดือนรอมฎอนแตกสลาย เนื่องจากแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (BRN) ยังคงกระทำกก่อการร้าย โดยการโจมตีครั้งล่าสุดเมื่อวันเสาร์(8 มีนาคม) ซึ่งทำให้ อส. เสียชีวิต 2 คน อยู่ในระหว่างละศีลอด การโจมตีด่านรักษาความปลอดภัยที่ว่าการอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ยังทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 14 คน อส. 8 คน ชาวบ้าน 6คน โดยมีเจ้าหน้าที่ อส.บาดเจ็บสาหัส จำนวน 3 คน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ยะลา ชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บถูกยิงโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนและตามมาด้วยเหตุการณ์ที่พระภิกษุจำนวน 3 รูป ที่อำเภอโคกโพธิ์ปัตตานี ถูกโจมตีทำให้ทั้ง 3 รูป ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ขณะที่ชาวไทยมุสลิมกําลังละศีลอด กลุ่มวัยรุ่นได้ขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ไปที่จุดตรวจถนนข้ามทางรถไฟ เมืองยะลา การก่อเหตุรุนแรงดังกล่าวทำให้พลเรือน 6 คนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวไทยมุสลิม
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม เกิดเหตุระเบิดที่วัดคูหาภิมุข ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา ทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหลายราย สองวันต่อมา ในวันที่ 8 มีนาคม มีผู้เสียชีวิต 3 คนรวมถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจำนวน 2 คน และได้รับบาดเจ็บ 1 คน จากเหตุระเบิดที่จุดพักใกล้กับสี่แยกบ้านฮูแตกอแล หมู่ที่ 3 ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
โดยรวมแล้ว ณ วันอาทิตย์ (9 มีนาคม) เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดถูกสังหาร 3คน ในขณะที่ 8 คนได้รับบาดเจ็บ และพลเรือน 4 คนเสียชีวิต และ 15 คนบาดเจ็บ รวมถึงพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ในการโจมตีของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้น เป็นการยากมากสำหรับ BRN ที่จะปฏิเสธ เนื่องจากพวกเขาได้ออกแถลงการอย่างชัดเจนว่า หากรัฐบาลไทยไม่มีการแต่งตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่จะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างหนัก หรือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ BRN จะพยายามบอกว่าเป็นการกระทำของฝ่ายรัฐบาล? หรือว่าผู้นำ BRN โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในต่างประเทศรู้ตัวดีแล้วว่า พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะต่อสู้เพื่อชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เพราะถือสัญชาติประเทศอื่น?
การโจมตีของกลุ่ม BRN ในทุกรูปแบบก่อการร้าย ได้รับการต่อต้านจากชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย การกระทำการก่อการ้ายของกลุ่ม BRN เป็นการขัดแย้งอย่างยิ่งจากการแถลงการของจุฬาราชมนตรี คือ
“ประเทศไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และเผยแผ่ศาสนา อันเป็นปกติ ดังนั้นถือเป็นดินแดนแห่งสันติภาพ (ดารุสลาม) และไม่ใช่ดินแดนให้สงคราม (ดารุ้ลฮัรบี) ชนต่างศาสนิก ถือเป็นมิตร และต้องปฎิบัติกับพวกเขาอย่างสันติ ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า มิได้ทรงห้ามอิสลาม ในการปฎิบัติการที่ดีและดำรงความยุติธรรมด้วย”
ใครฆ่าผู้บริสุทธิ์ ใครทำลายทรัพย์สิน ในช่วงรอมาฎอน ยิ่งตอกย้ำว่า เป็นการกระทำของ พวก ซาตาน อิบลิส ไม่ใช่เเนวทางของผู้ศรัทธา รอมฎอนเป็นเดือนเเห่งความสงบสันติ อย่ามาอ้าง ญีฮาด เเบบ ผิด ๆ ให้มุสลิมไทยคนอื่น ๆ เเละอิสลามเสียหาย ไปด้วย BRN หรือ จูเเวกลุ่มใดก็ตามเเต่ ที่สอนให้ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เเนวทางอิสลาม เเละพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร กันกับอิสลาม
นี่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่ากลุ่มนั้นโดยเฉพาะ BRN ไม่มีความตั้งใจที่จะเห็นชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ต้อนรับเดือนรอมฎอนและปฏิบัติศาสนกิจในเดือนศักดิ์สิทธิ์ด้วยความสงบสุข
พวกเขาเปรียบเสมือนฝูงหมาป่าที่ดุร้าย ที่ไม่รู้ความหมายของความเมตตาเลย และตลอดเวลาต้องการให้มีการเลือดของผู้บริสุทธิ์ในนามของญิฮาด
เมื่อมีเหตุการณ์การโจมตียังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนรอมฎอน เมื่อ 2 มีนาคม พิสูจน์ให้เห็นว่าในขณะที่รัฐบาลไทยสนับสนุนเดือนรอมฎอนสู่สันติ แต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเสมือนกําลังดำเนินการ “รอมฎอนนองเลือด”

“เหตุใดในข้อความแถลงการณ์ของผู้นำ BRN เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ทางโซเชียลที่ผ่านมา ได้เน้นย้ำ เชิญชวนประชาชาติปาตานีที่อยู่ทุกหนแห่งและประชาชาติอิสลามทั่วโลก ให้ถือในวาระเดือนรอมฎอน ปฏิบัติตนทำความดีให้มาก”
คําถามคือ การเรียกร้องให้ญิฮาดที่ผู้นํา BRN กล่าวถึงนั้น มันเกี่ยวข้องกับการโจมตีที่เกิดขึ้นหรือไม่? เป็นเพราะพวกเขาต้องการให้ชาวไทยมุสลิมทำญิฮาดอย่างชัดเจนเพื่อเป็นผู้พลีชีพในสงคราม ที่คาดว่าจะเป็นการกําจัดเผด็จการและการกดขี่ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในปัจจุบันนี้
อาจจะเป็นผลมาจากการเรียกร้องนี้ มีคนกลุ่มเยาวชนที่หลงเชื่อจนเต็มใจที่จะทำการโจมตีเพื่อความตายของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และยิ่งโชคร้ายชาวไทยมุสลิมได้ตกเป็นเหยื่อของการกระทำดังกล่าวด้วย
ในขณะที่ผู้นํา BRN กำลังเพลิดเพลินกับการทานข้าวอาหรับอย่างเอร็ดอร่อยและนอนเหมือนงูหลามอิ่มหนำสำราญ เยาวชนหนุ่มสาวที่หลงเชื่อต่อการญิฮาดของพวกเขาสามารถ “สูบดมเลือด” ของชาวไทยมุสลิมด้วยการโจมตีด้วยระเบิด
ไม่รู้ว่าพวกเขารับบทบัญญัติเล่มไหน พวกเขาอ้างถึงนักวิชาการคนไหน เมื่อเรียกร้องให้ญิฮาดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่ใหญ่เท่าไวรัส ไม่ควรเทียบกับการต่อสู้ที่บาดร์ การเปิดเมืองเมกกะ และการปลดปล่อยอันดาลูเซีย
มีเพียงคนตาบอดในประวัติศาสตร์และโง่เขลาเท่านั้น ที่จะเชื่อว่าการเรียกร้องให้ญิฮาดโดย BRN นั้นเหมือนกับเหตุการณ์ทั้งสาม
สงคราม Badar เกิดจากทัศนคติของคนนอกศาสนา Quraish ที่กระทำเกินขอบเขตของมนุษยชาติต่อชาวมุสลิม ศาสดา SAW รู้การเปิดเมกกะเพื่อปลดปล่อยเมืองศักดิ์สิทธิ์จากอิทธิพลการปฏิบัติ และการครอบงำของกลุ่มที่ไม่มีความรู้ ในขณะที่การยึดครองอันดาลูเซียเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นยุครุ่นเรือนของการปกครองของอิสลาม
ดังนั้น ด้วยเหตุผลใดที่ผู้นำ BRN ต้องการให้ทั้งสามเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นข้ออ้างสำหรับพวกเขาก่อเหตุการณ์ก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย? มีชาวไทยมุสลิมในจังหวัดดังกล่าวถูดกดขี่ไหม? มีเจ้าหน้าที่รัฐไทยจับกุมและทำร้ายชาวไทยมุสลิมไหม? มีเจ้าหน้าที่รัฐไทยห้ามไม่ให้ชาวไทยมุสลิมประกอบศาสนกิจไหม?

ทั้งหมดนี้ไม่เกิดขึ้น ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลไทยพร้อมที่จะทําทุกอย่าง รวมถึงการพูดคุยกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเพื่อสร้างสันติสุขและความเสงบสุขในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว
รัฐบาลไทยได้แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่าชาวไทยมุสลิม สามารถประกอบศาสนกิจอย่างสงบในช่วงเดือนรอมฎอน แต่ทั้งหมดนั้นถูกทําลายโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ดังนั้นเราจึงตั้งข้อสงสัยว่า ใครกันแน่ที่เชิญชวนความทุกข์ยากให้กับชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย? ใครกันแน่ที่ก่อความรุนแรงและใครที่ต้องการเห็นชีวิตของชาวไทยมุสลิมยังคงไม่มีความสงบสุขต่อไป?
ผลมาจากการกระทำที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของกลุ่ม BRN ไม่เพียงแต่คาดว่าความสงบสุขของชาวไทยมุสลิมที่จะประกอบศาสนกิจในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์ จะถูกกีดกัน แต่เศรษฐกิจของพวกเขายังคาดว่าจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศ (มาเลเซีย) เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียเลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังจังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี หลังจากมีเหตุการณ์ความมั่นคงที่เกิดขึ้น
โดยสรุป ความรุนแรงจากการกระทำของกลุ่ม BRN ในช่วงเดือนรอมฎอนพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อชาวไทยมุสลิมเลย และพวกเขาไม่คู่ควรที่จะได้รับเชิญในกระบวนการพูดคุยสันติสุข
ถึงเวลาแล้วเพื่อผลประโยชน์และความเป็นอยู่ที่ดีของชาวไทยมุสลิม ที่รัฐบาลไทยกควรพิจารณาปิดประตูการพูดคุยทั้งหมดและเผชิญหน้ากับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนด้วยกําลังที่แท้จริงยกเว้นเสียแต่ว่า BRN จะสำนึกในบาปของตนอย่างแท้จริง และยุติความรุนแรงทั้งหมดในทันที รวมทั้งต้องปกป้องพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมากที่ต้องการเห็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบสุขอย่างเต็มขีดความสามารถ
นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า BRN ไม่เพียงแต่ไม่จริงใจในกระบวนการพูดคุยสันติสุข แต่ยังไม่ซื่อสัตย์ต่อชาวไทยมุสลิมด้วย …