….ประมาณ 48 ชั่วโมงก่อนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะเดินทางเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

ได้มีการโจมตีด้วยระเบิดครั้งแรกใกล้กับสถานีตำรวจอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันอังคาร ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 คน อส. 6 คน และชาวมาเลเซีย 1 คน และไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะเหยียบเท้าลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
และเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างยิ่งที่ผู้ถูกสังหารโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
เมื่อวันพุธ ที่ได้มีการโจมตีด้วยระเบิดและยิงซ้ำสองคนพ่อลูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ที่ทำหน้าที่เป็นครูที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านไอร์ตืองอ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส คือ พันตำรวจโท สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ และ ดาบตำรวจ โดมช่วยเทวฤทธิ์
แม้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะเสียใจกับเหตุการณ์ทั้งสองครั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจของเขาที่จะไปเยี่ยมเยียนเพื่อพบปะกับประชากรมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เน้นย้ําว่ารัฐบาลของเขาพร้อมที่จะทําทุกวิถีทางเพื่อสร้างสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยด้วยสันติวิธี
ด้วยพลังกำลังใจที่สูงส่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ลงไปเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันพฤหัสบดี เพื่อปฏิบัติภารกิจโดยไม่คำนึงถึงต่อที่จะถูกกระทำใด ๆ จากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ได้มีการโปรยเอกสารใบปลิวห้ามไม่ให้ประชาชนต้อนรับการเยือนของลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร รวมถึงคณะรัฐมนตรี และบุคคลสำคัญ
เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงความจริงใจต่อประชากรมุสลิม ว่าเขาต้องการนําความเจริญรุ่งเรืองมาสู่พวกเขาอย่างแท้จริง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่เพียงแต่พยายามเรียนรู้คําศัพท์ภาษามลายูขณะอยู่บนเครื่องบินเพื่อทักทายกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยแล้ว และยังมีความตั้งใจมุ่งมั่นให้กำหนดการมุ่งหมายต่อความพยายามที่จะยกระดับการศึกษา และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชากรมุสลิม โดยเฉพาะนักเรียนและนักศึกษาที่เราสามารถเห็นได้ชัดจากรอยยิ้มที่แสดงออกจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตลอดเวลาที่มีการพบปะกับประชาชนในพื้นที่ ที่น่าประทับใจอย่างยิ่งที่เมื่อได้เห็น นักเรียน นักศึกษา และประชากรมุสลิมมีความสุขมากที่ได้ถ่ายรูปกับนายกรัฐมนตรีหญิงวัย 39ปี
ในการเยือนดังกล่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นประธานเปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยลูกหนี้ “มีอยู่ มีกิน มีใช้” โดยเน้นเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ และประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำสุไหงโก–ลก และโครงการรถไฟรางคู่ หาดใหญ่ – สุไหงโก–ลก โดยโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานจะเริ่มได้กลางปีนี้ และเปิดใช้ได้ในปี 2570
แม้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะมีเวลาไปเยือนเพียงสองจังหวัด คือจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดยะลา เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออํานวย แต่การเยือนระยะสั้นนี้ ประสบความสำเร็จและสามารถพิสูจน์ให้ประชากรมุสลิมเห็นว่า รัฐบาลไทยมีความตั้งใจและจริงใจที่จะทำให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มีความสงบสุขและไม่ใช่เป็นการกดขี่พวกเขาตามที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้มีโฆษณาชวนเชื่อ
แท้จริงแล้ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีความจริงใจและตั้งใจมากที่ต้องการเปลี่ยนชะตากรรมของประชากรมุสลิม แสดงให้เห็นได้ว่าการลงเยี่ยมเยียนของเขาโดยไม่สนใจภัยคุกคามและการข่มขู่ ถ้าจะเทียบกับผู้นําของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศเพียงแต่ยกยอตัวเองและอ้างว่าพวกเขาสู้เพื่อประชากรมุสลิม โดยไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อยต่ออนาคตและชะตากรรมประชากรมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าว
การให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าประชากรมุสลิมโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาปฏิเสธการต่อสู้ที่ที่ไร้อุดมการณ์ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนและพวกเขาต้องการอยู่อย่างสงบสุข
พวกเขาเอื่อมระอากับการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเพราะสิ่งที่พวกเขาเผชิญในชีวิตประจำวันขัดแย้งกับการกล่าวหาของพวกเขาต่อรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ พวกเขายังได้เห็นด้วยตัวเองว่าน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้มาที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อเยี่ยมเยียนค่ายทหาร เพื่อตรวจสอบระดับความพร้อมในการต่อสู้กลุ่มแบ่งแยกดินแดน แต่เขามามุ่งเน้นที่จะปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชากรมุสลิม
การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีไทยนั้นเฉลียวฉลาดมาก เพราะเป็นการไม่ต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กับกลุ่มที่ไม่รู้จักตอบสนองบุญคุณ และการปฏิบัติของรัฐบาลไทยต่อประชากรมุสลิมในพื้นที่ และพวกเขายังไม่เข้าใจว่าประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้น ต้องการสันติภาพไม่ใช่สงครามก่อการร้ายต่อเป้าหมายอ่อนแอและสังหารผู้บบิสุทธิ์
ดังนั้นหากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนยังคงเสแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ มันยังคงมีความจำเป็นอีกหรือไม่
ที่กระบวนการพูดคุยสันติภาพควรดำเนินต่อไปอีก? กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้พูดกันไปทั่วว่ากระบวนการนี้เป็นอนาคตของปัตตานี คำกล่าวอ้างนั้นเป็นความจริงหรือไม่?
หากนั่นคือ การตีความของพวกเขาต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ เหตุใดกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจึงไม่ใช้โอกาสในการทําความเข้าใจกับรัฐบาลไทยในขณะที่พวกเขาเองก็อยู่กระบวนการพูดคุยก่อนหน้านี้ ?
เหตุใดจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย จึงยังคงถูกหลอกหลอนด้วยการโจมตีด้วยระเบิดที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ รวมถึงครูสองคนที่สอนลูกหลานก็ถูกพวกเขาสังหารอย่างโหดเหี้ยม เพียงเพราะพวกเขารับราชการกับรัฐบาลไทย นั่นหมายถึงอนาคตของปัตตานีหรือไม่?
กลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่สนใจในผลงานและคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ของครูสองคนที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีอนาคตที่ดี แต่ตรงการข้าม พวกเขาถือว่า บุคคลใดที่รับราชการกับรัฐบาลไทย ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมย่อมตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกสังหารจากพวกเขา
โดยสรุป ผู้เขียนเชื่อว่า หากผู้สังเกตุการณ์ต่างประเทศได้รับอนุญาตให้สืบสวนสาเหตุของความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยตามคำแนะนําของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ขอให้ผู้เขียนทบทวนให้แน่ใจว่าจะขัดแย้งกับนโยบายของรัฐบาลไทยหรือไม่) เชื่อได้ว่ารัฐบาลไทย รวมถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตรพยายามนําสันติภาพมาสู่ความเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่การกระทําการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทําให้ชาวมุสลิมต้องนําศพไปที่สุสาน ….