ตำรวจไซเบอร์ บุกค้นบ้านผู้ประกาศข่าว ทำเกิดกว่าเหตุหรือไม่ ??

ตำรวจไซเบอร์ระดับนายพล บุกค้นบ้านผู้ประกาศข่าว แค่เชิญตัวไปเป็นพยานคดีหมิ่นฯ ทำเกิดกว่าเหตุหรือไม่ ???
…..

เศร้าใจยิ่งนัก เมื่อได้อ่านข่าวตำรวจไซเบอร์กว่า 10 นาย บุกไปยังบ้านในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในย่านพุทธมณฑล พร้อมหมายค้นจากศาล

ที่บอกว่า \’เศร้าใจ\’ เพราะกองกำลังชุดนี้นำโดยนายพล ระดับ พล.ต.ท. (ผู้บัญชาการ) เพียงเพื่อนำหมายไปตรวจค้น และเชิญบุคคลไปเป็นพยานในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ย้ำว่า “เชิญไปเป็นพยาน” เท่านั้น ไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ

ตำรวจไซเบอร์ชุดนี้ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ  พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์  รองกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 (ผบก.สอท.4) นำกำลังตรวจค้นพร้อมหมายค้นศาลอาญาที่ 110/2568 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2568 เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง บนถนนชัยพฤกษ์ แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ก่อนควบคุมตัว น.ส.ไญยิกา (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ประกาศข่าว สำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยานที่กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ ณ เมืองทองธานี

เราจะเห็นว่า มีตำรวจระดับ พล.ต.ท. และ พล.ต.ต. อีก 2 นาย และระดับนายพันร่วมปฏิบัติการด้วย ซึ่งโดยปกติการที่ตำรวจจะเรียกใครไปเป็นพยานในคดีหมิ่นประมาท ก็จะออกหมายเรียก และต้องจ่ายค่าเดินทาง ค่าป่วยการให้กับพยานด้วย

แต่ไม่เข้าใจว่า ตำรวจไซเบอร์ ที่ปฏิบัติการครั้งนี้ที่นำโดยผู้บัญชาการไซเบอร์ คิดอะไรอยู่ถึงได้ฮึกเหิมขนาดนี้ มีอะไรอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่

คดีนี้เกิดจากการที่ทักษิณให้ทนายความไปแจกความดำเนินคดีกับคนที่หมิ่นประมาทเขา โดยไปแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ ซึ่งผิดปกติ เพราะคดีหมิ่นประมาทถ้าจะนำความขึ้นศาลสามารถกระทำได้สองวิธี คือ แจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดี และปกติต้องไปแจ้งความที่โรงพักใดโรงพักหนึ่ง เพื่อให้ตำรวจสอบสวน แต่ทนายความของทักษิณเลือกไปแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์
อีกช่องทางหนึ่ง คือ ให้ทนายความเขียนสำนวนและฟ้องเอง ซึ่งจะเป็นทางลัดตัดขั้นตอนตำรวจและอัยการไป

“เป้าหมายเขาคงจะอยู่ที่พี่มากกว่า” ต้อย-สนธิญาณ กล่าว เพราะสำนักข่าว the critics อยู่ภายใต้โครงสร้างของทิศทางไทย ที่มีสนธิญาณบริหารอยู่ และมีสำนักข่าวอยู่ด้วย นำเสนอเนื้อหาเชิงสกู๊ปลงเสียงโดยผู้ประกาศข่าว สีหน้า และท่าทางเอาจริงเอาจัง และข่าวที่เป็นต้นเรื่องนำมาสู่การฟ้องร้อง คือ การนำข้อมูลข่าวการจัดอันดับผู้นำของทักษิณ โดยเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศไปในทางลบมากๆ จึงนำมาสู่การฟ้องร้องหมิ่นประมาท จริงๆ แล้วข่าวชิ้นนี้สื่อในบ้านเราหลายสำนักก็นำมาแปลมาเล่นอยู่ แต่ทักษิณเลือกที่จะเล่นงาน the critics ของสนธิญาณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สนธิญาณจะบอกว่า \’เป้าหมายเขาอยู่ที่พี่มากกว่า\’

ตำรวจนำตัวไญยิกาไปสอบสวนยังสำนักงานของตำรวจไซเบอร์ ย่านเมืองทองธานี สอบสวนเสร็จก็ปล่อยตัวกลับ โดยไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ

“ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ไปร้องต่อองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจะได้นำข้อมูลไปให้กับองค์กรเหล่านี้ แต่ขอเวลาปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ และทนายก่อน” สนธิญาณ กล่าว

สนธิญาณ กล่าวอีกว่า \”จริงๆ ตำรวจก็ใช้วิธีหลอกล่อน้องผู้ประกาศ โดยระหว่างตำรวจเข้าบุกเข้าไป น้องเขาก็โทรมาปรึกษาผม ผมก็บอกว่า ใจเย็นๆ นะ พี่ปรึกษาทนายความก่อน และบอกไปว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร ถ้ายังไม่มีทนายความ ระหว่างนั้นตำรวจก็ไปพูดอะไรกับน้องเขาก็ไม่รู้ และพาน้องเขาไปสอบปากคำ โดยยังไม่มีทนายความ\”

นี้น่าจะเป็นอีกปรากฏการณ์ของรัฐตำรวจที่หวนกลับมาอีกครั้ง และเริ่มเห็นร่องรอยของการ “คุกคามสื่อ” จากองค์กร หน่วยงานรัฐที่มีกฎหมาย และอาวุธปืนอยู่ในมือ

คงจำกันได้ว่าเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว รัฐบาลก็ใช้อำนาจที่มีอยู่ตรวจสอบบุคคลที่ทำงานอยู่ในองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และสื่อมวลชนอาวุโสอีกหลายคน จนเกิดคำขึ้นมาว่า “คุกคามสื่อ คุกคามประชาชน” ปรากฏการณ์ใหม่นี้จะย้อนไปเหมือนในอดีตหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป…