มช.กระทรวงเกษตรฯ รณรงค์ฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดส ป้องกันการระบาดโรคลัมปี สกิน จังหวัดเชียงราย

เชียงราย-รมช.กระทรวงเกษตรฯ Kick Off รณรงค์ฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดส ป้องกันการระบาดลดความสูญเสีย สร้างความเชื่อมั่นในสินค้าปศุสัตว์ให้กับประเทศคู่ค้า

วันที่ 21 ก.พ. 2568 นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิด Kick Off โครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน จังหวัดเชียงราย และมอบวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน แก่อาสาปศุสัตว์ รวมทั้งปล่อยขบวนรถเจ้าหน้าที่และอาสาปศุสัตว์ เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์และสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกินให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ ณ ลานทองฟาร์ม ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้บริหาร นายอำเภอแม่จัน หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมต้อรับและตรวจเยี่ยมฟาร์มเครือข่ายโคเนื้อล้านนา โดยมีนายนเรศ รัศมีจันทร์ ประธานเครือข่ายโคเนื้อล้านนา นำเยี่ยมชม\"\"
นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาปศุสัตว์ของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการผลิตและการแข่งขันทางด้านการส่งออก จึงได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 งบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค กระบือ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อดำเนินการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน จำนวน 7,850,000 โดส ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องเกษตรกร และเป็นการเตรียมความพร้อมสินค้าปศุสัตว์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า\"\"
สำหรับ จ.เชียงราย เป็นพื้นที่นำร่องการสร้างพื้นที่ปลอดโรค (Regionalization) และการสร้างคอกกักเพื่อการส่งออกตามแผนของกรมปศุสัตว์ เพื่อผลักดันการส่งออกโค กระบือมีชีวิตไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งและโลจิสติกส์ของเกษตรกร และเป็นการเปิดช่องทางการค้าเส้นทางใหม่ โดย จ.เชียงราย ได้รับการจัดสรรวัคซีน จำนวน 78,330 โดส ครอบคลุมจำนวนประชากรโคและกระบือทั้งหมดในจังหวัด นอกจากนี้ กามปศุสัตว์ยังมีแผน Kick Off โครงการฯ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 28 ก.พ. 68 ณ จ.ตาก อีกด้วย\"\"
ส่วนโรคระบาดในสัตว์ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของประเทศไทย โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อยและโรคลัมปี สกิน ดังนั้นการป้องกันและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพไม่ให้มีการเกิดโรคภายในประเทศ ร่วมกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคลัมปี สกินให้กับโค กระบือในพื้นที่ นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ต่างประเทศยอมรับและเชื่อมั่นในสินค้าปศุสัตว์ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น\"\"
รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าเจรจาเปิดตลาดส่งออกโคมีชีวิตและผลิตภัณฑ์จากไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีนมาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) และคาดว่าจะได้รับข่าวดีในเร็วนี้ เชื่อมั่นว่าหากสามารถส่งออกไปจีนสำเร็จ จะเป็นการกระตุ้นราคาโคเนื้อให้เกษตรกร ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีอาชีพที่มั่นคง\"\"
สำหรับสถานการณ์การผลิตโคเนื้อ ปี 2567 มีโคเนื้อทั้งสิ้น 9.9 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจาก 9.65 ล้านตัว ของปี 2566 หรือคิดเป็นร้อยละ 2.58 ด้านผลผลิตโคเนื้อ มีจำนวน 1.18 ล้านตัว ลดลงจาก 1.29 ล้านตัว ของปี 2566 หรือร้อยละ 9.04 ในด้านการตลาด ส่งออกโคมีชีวิตรวม 133,416 ตัว มูลค่า 3,242.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 87,144 ตัว ของปี 2566 ร้อยละ 53.10 โดยส่งออกไปประเทศเวียดนาม 43.64% มาเลเซีย 28.64% ลาว 27.34% และอื่นๆ 0.38%\"\"
ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถขอรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวได้ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด หรือสำนักงานปศุสัตว์อำเภอใกล้บ้าน หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวของกรมปศุสัตว์ในพื้นที่ เช่น สหกรณ์โคนม/ศูนย์รับน้ำนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น\"\"
ต่อจากนั้น นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะลงพื้นที่ทวาฟาร์ม ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นฟาร์มเครือข่ายโคเนื้อล้านนาอีกแห่ง ที่ได้รับความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงโคเนื้อของจังหวัดเชียงราย ปัจจุบันมีโคเนื้อที่เลี้ยงไว้ประมาณ 66 ตัว ที่มีการบริหารจัดการตั้งแต่การเพาะเลี้ยง ผสมเทียม และออกลูก เป็นต้น

ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการติดตามการดำเนินงานการฟื้นฟูสุขภาพกระบือเวียงหนองหล่มในระยะเร่งด่วน ณ ทวาฟาร์ม ต.แม่คำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 67 ตนได้ลงพื้นที่ จ.เชียงราย โดยได้รับฟังปัญหาจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกระบือที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่กระบือป่วยและล้มตายจำนวนมาก จึงได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ เข้าไปช่วยเหลือเร่งด่วน ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด ได้รับรายงานว่าไม่พบกระบือป่วยและตายเพิ่มตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 67 เป็นต้นมา จึงขอชื่นชมและขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่มุ่งมั่นปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ในการแก้ไขปัญหาลดความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์ยังคงต้องเฝ้าระวังป้องกันโรคอย่างใกล้ชิด\"\"
สำหรับสถานการณ์โดยภาพรวม สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย รายงานว่า เวียงหนองหล่มมีจำนวนกระบือประมาณ 962 ตัว มีกระบือป่วยสะสม 155 ตัว หายป่วย 150 ตัว คิดเป็นร้อยละ 96.8 ป่วยแล้วตาย 5 ตัว คิดเป็นร้อยละ 3.2 ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ระดมทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่เข้าฟื้นฟูสุขภาพกระบือ ทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย วัคซีนป้องกันโรคคอบวม การถ่ายพยาธิในทางเดินอาหาร การฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในคอกสัตว์ของเกษตรกร อีกทั้ง ยังได้เข้าช่วยเหลือด้านพืชอาหารหยาบ รวม 121,512 กิโลกรัม ให้กับ ปางควายเวียงหนองหล่มทั้ง 3 ปาง ได้แก่ ปางกระบือบ้านป่าสักหลวง ปางกระบือบ้านต้นยาง และปางกระบือบ้านห้วยน้ำราก ในช่วงวันที่ 14 พ.ย. – 18 ธ.ค.67 ซึ่งปัจจุบันกระบือได้รับการฟื้นฟูจนเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว\"\"
อย่างไรก็ตามหญ้าอาหารสัตว์เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีให้เพียงพอตลอดทั้งปี เพื่อป้องกันปัญหากระบือขาดแคลนอาหารในช่วงภัยแล้ง โครงการชลประทานเชียงราย และปศุสัตว์จังหวัด จึงได้ร่วมมือกันในการวางแผนปลูกพืชอาหารสัตว์ในพื้นที่เวียงหนองหล่ม พร้อมจัดตั้งสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ โดยแบ่งแผนการปลูกออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การปรับพื้นที่บริเวณจุดทิ้งดินให้เป็นแปลงเพาะพันธุ์หญ้าประมาณ 50 ไร่ ส่วนระยะที่ 2 จะเพาะปลูกหญ้าอีกประมาณ 300 ไร่ เพื่อนําไปขยายผลให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกระบือในระยะยาวต่อไป เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแหล่งอาหารเลี้ยงสัตว์ในระยะยาว

สำหรับ “เวียงหนองหล่ม” เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 14,000 ไร่ ในเขต 2 อำเภอ คือ อ.แม่จัน และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เก็บกักน้ำได้ 8 ล้าน ลบ.ม. เกษตรกรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นถิ่นและการเลี้ยงควายเป็นหลัก แต่ในระยะเวลาต่อมาแหล่งน้ำมีสภาพตื้นเขิน เนื่องจากการสะสมของตะกอนดินและปัญหาวัชพืช กรมชลประทานจึงดำเนินโครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่มพร้อมอาคารประกอบ การดำเนินงานงบประมาณปี 2565 – 2570 โดยขุดลอกตะกอนดิน เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเก็บกักน้ำให้มากขึ้น เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำได้ 18.437 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 11,000 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 10,008 ครัวเรือน เพื่อสนับสนุนความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง ทั้งด้านการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการปศุสัตว์ได้อย่างเพียงพอ