ไหม้ซ้ำอีก!! ผู้ว่าฯ สระแก้วเดือด!! สั่งด่วนนายอำเภอให้ดำเนินคดีเผาทุกแปลงทุกราย

สระแก้ว  – เผาซ้ำ!! ใกล้จวนผู้ว่าฯและศาลากลางจังหวัด ผู้ว่าฯ สระแก้วเดือด สั่งด่วนให้นายอำเภอ ดำเนินคดีเผาทุกแปลงทุกราย เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นต้นไป หากเกิดไฟไหม้และเจ้าของแปลงไม่ได้เผาต้องแจ้งความร้องทุกข์ แต่หากพบทำผิดเผาเอง จะถูกนายอำเภอแจ้งความเอาผิด พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ทันที
เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีสื่อมวลชล-โซเชียลมีเดียและเฟซบุ๊ก นำเสนอข่าวกรณีมีการเผาไร่อ้อยใกล้บริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและหมู่บ้านไกล้เคียง และพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้ประสานไปยังกองบิน 3 อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ได้นำโดรนมาบินเพื่อสำรวจบริเวณใกล้ศูนย์ราชการจังหวัดสระแก้ว และระบุว่า ไม่พบการเผาอ้อยและเผาป่าแต่อย่างใด ขณะที่เมื่อช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาได้เกิดการเผาไร่อ้อยในพื้นที่ ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว ซึ่งอยู่ใกล้กับศาลากลางจังหวัดและจวนผู้ว่าฯ หลายจุด ซึ่งหลังจากบินโดรนแล้ว ทาง จ.สระแก้วได้ชี้แจงกรณีนี้ว่า เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดการกระทำผิดต่อกฎหมายและป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสุขอนามัยของประชาชน ในการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว จึงได้แจ้งกำชับให้กับทุกภาคส่วนดำเนินการประชาสัมพันธ์และบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ให้เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนงดการเผาทุกชนิด และให้ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องสอดส่องดูแลเอาใจใส่ ร่วมชี้แจงให้กับประชาชนในท้องที่ ปฏิบัติตามประกาศจังหวัดอย่างเคร่งครัด และให้นายอำเภอท้องที่กำกับดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของประกาศ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสระแก้ว ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ด้วย
\"\"\"\"
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า วันนี้ (27 ม.ค.68) นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้ออกคำสั่งด่วนเป็นข้อความหนังสือด่วนส่งถึง นายอำเภอทุกอำเภอ ระบุว่า \”การประชุมติดตามสถานการณ์การแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และปัญหา pm2.5 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ซึ่งมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วเป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติ ให้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้เผาทุกแปลงทุกราย เริ่มในแปลงที่เผาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นต้นไป โดยเมื่อลงไปตรวจสอบแปลงที่เผาแล้ว หากเป็นกรณีที่เจ้าของแปลงเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากถูกคนอื่นลักลอบเผา ให้เจ้าของแปลงเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ แต่หากเป็นการกระทำผิดของเจ้าของแปลงหรือมีพยานหลักฐาน เชื่อว่าเจ้าของแปลงหรือผู้เช่าเป็นผู้กระทำผิด ให้นายอำเภอในฐานะผู้อำนวยการอำเภอ ตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์/กล่าวโทษ กับสถานีตำรวจในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการปฏิบัติให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทราบทุกเคส/ทุกราย/ทุกแปลงทางกลุ่มไลน์นี้ จึงเรียนมาเพื่อถือฏิบัติโดยเคร่งครัด\”
\"\"
ล่าสุด ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น.วันนี้ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เกิดเหตุไฟไหม้ในพื้นที่ใกล้กับศาลากลางจังหวัดและจวนผู้ว่าราชการจังหวัดอีกครั้ง หลังผู้ว่าฯ ออกคำสั่งดังกล่าว โดยเพจ\”สระแก้วบ้านเรา\” ได้นำภาพและคลิป ไฟไหม้ดังกล่าวนำเสนอทางเพจเฟซบุ๊ก โดยมีกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณด้านทิศตะวันออกห่างจากบ้านพักข้าราชการและจวนผู้ว่าฯ ประมาณเกือบ 1 กม. บริเวณไร่อ้อย ป่ายูคาลิปตัสและสวนยางพารา มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจำนวนมาก ทางเจ้าหน้าที่ อส.อำเภอเมืองสระแก้ว ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ป้องกันจังหวัด ได้ประสานระดมรถน้ำดับเพลิงจากพื้นที่ อบต.ห้วยโจด และ อบต.ท่าเกษม ไประดมฉีดน้ำดับไฟ ซึ่งไฟไหม้เกิดขึ้นใกล้กัน ประมาณ 3-4 จุด ใช้เวลาควบคุมเพลิงไปจนถึงเวลาประมาณ 13.30 น. หลังจากนั้น ได้สแตนบายรถน้ำดับเพลิงไว้ในบริเวณจุดเกิดเหตุอีก 1 คัน เพื่อป้องกันไฟประทุขึ้นอีก
\"\"
น.ส.อรพรรณ จันทร์แก้ว อายุ 30 ปี ที่อยู่ 93/6 ม.10 ต.วัฒนานคร อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เจ้าของสวนยางและไร่ยูคาลิปตัส หนึ่งในแปลงที่ถูกไฟไหม้ดังกล่าว กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุอยู่ที่ อ.วัฒนานคร เพิ่งทราบตอน 13.00 น.ว่า ไฟไหม้ป่ายางพาราและยูคาฯ ถูกไฟไหม้ ก็รีบขับรถมาที่ไร่ทันที โดยเธอระบุว่า ไม่ได้เป็นคนเผา ยังไม่ทราบสาเหตุว่า เกิดได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และช่วงนี้ทางจังหวัดเข้มงวดไม่ให้มีการเผา จึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะเราไม่ได้เป็นคนจุด ตอนเกิดเหตุอยู่วัฒนานคร จุดไม่ได้แน่นอน หลังจากนี้จะไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสระแก้ว ว่าเราไม่ได้เป็นคนทำ และต้องมาดูอีกที เพราะเหมือนไฟลามมาจากอีกที่หนึ่งหลายแปลง ถ้าเป็นเราจะไม่จุดไฟเผาเพราะเราไม่มีจุดประสงค์อะไรที่จะต้องจุดไฟ เพราะเรารู้อยู่ว่าเค้ารณรงค์แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5
\"\"
อย่างไรก็ตาม สำหรับสรุปข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเผาในที่โล่ง การเผาในที่โล่งเป็นเหตุรำคาญ ตามาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 กรณีมีการเผาขยายเป็นวงกว้างในพื้นที่อาจเป็นสาธารณภัยตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ซึ่งหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำความผิด โดยกำหนดมาตรการตามกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลทางปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการลดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยการเผาในที่โล่งอาจเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายฉบับ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและการกำหนดมาตรการตามกฎหมาย แบ่งเป็น ประเภทของการเผา และความผิดตามกฎหมายดังนี้
\"\"
1. การเผาในพื้นที่เอกชน 1. ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550) 2. ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งให้ระงับการเผา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พรบ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535)
2. การเผาในพื้นที่สาธารณะ 1. ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธาธารณภัย พ.ศ.2550) 2. ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งให้ระงับการเผา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พรบ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535)
\"\"
3. การเผาในพื้นที่ข้างทาง ห้ามมิให้ผู้ใดเผาหรือกระทำการด้วยประการใดๆ เป็นเหตุให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใด ที่อาจทำให้ไม่ปลอดภัยแก่การจรจรารในทางเดินรถ ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท (พรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2522)
4. การเผาในพื้นที่ป่าไม้ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าลุกลามเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 2 – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท (พรบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484)
\"\" \"\"
5. การเผาในพื้นที่เกษตรกรรม 1. ผู้ใดเผาในที่โล่ง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท (ประมวลกฎหมายอาญา) 2. ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็นหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา)
หากการกระทำตามประเภทของการเผาดังกล่าวข้างต้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ผู้เสียหาย ในฐานความผิดละเมิด (มาตรา 420) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ด้วย
\"\" \"\" \"\"
——————————–
ข่าว-ภาพโดย/ธนภัท กิจจาโกศล ,เด่นชัย วิสุทธิ์วุฒิพงษ์ ทีมข่าวสระแก้ว
ขอบคุณภาพ/เพจ สระแก้วบ้านเรา