สระแก้ว – ทางการกัมพูชาส่งตัวคนไทย 119 คน หลังทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเจรตำรวจแห่งชาติ ระบุ ไม่ยอมให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมาหลอกคนไทยด้วยกันได้อีก พบหากไม่ใช่เหยื่อและเกี่ยวข้องกับการทำผิดเข้าข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถือว่าเข้าข่ายความผิดองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จะขอศาลออกหมายจับดำเนินคดีทุกราย
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 1 มี.ค.68 ผู้สื่อข่าวรรายงานว่า ภายหลัง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.สระแก้ว เพื่อประชุมหารือประเด็นการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ และตรวจปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยชื่นชมหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ที่ช่วยกันดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นรวมทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดี โดยสถานการณ์ภาพรวมการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการระงับเสารับส่งสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยมีระยะทางเริ่มตั้งแต่บริเวณ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ ไปสิ้นสุดที่ อ.คลองหาด รวม 4 อำเภอ มีเสารับส่งสัญญาณ จำนวน 118 เสา อนุญาต จำนวน 70 เสา ยังไม่ได้อนุญาต 48 เสา รวมทั้งการระงับบัญชีม้าและการจัดการที่พักผิดกฎหมาย ที่พักจอดรถ รับฝากรถ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำหรับการลักลอบพาคนข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

ขณะเดียวกัน วันนี้ (1 มี.ค.) ช่วงเวลา 10.30 น.ทางสถานกงสุลใหญ่ ณ จังหวัดเสียมราฐ และเจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้อำนวยความสะดวกในการส่งตัวคนไทย 119 คน ที่อาศัยอยู่ในกรุงปอยเปตกลับประเทศไทย โดยได้นำทั้ง 119 คน มาส่งที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ ตม.สระแก้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะรับตัวไปไปดำเนินการตามขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง โดยพบว่า ในจำนวนคนไทยที่ถูกส่งตัวกลับมามีหมายจับ 7 คน จำนวน 15 หมาย ซึ่งภายหลังผ่านั้นตอนของ ตม.แล้ว จะถูกส่งตัวไปยังศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ที่สโมสรค่ายสุรสิงหนาถ ร.12 พัน 3 รอ. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

สำหรับศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ จังหวัดสระเเก้ว (National Referral Mechanism – NRM) จะใช้เป็นศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นกลไกที่ถูกออกแบบมา เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขั้นตอนของ NRM มี 4 ขั้นตอนคือ รับแจ้งเหตุ คัดกรอง คัดแยก คุ้มครอง โดยขั้นตอนการคัดแยก คัดกรอง จะมีสหวิชาชีพ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และพนักงานสอบสวน ร่วมในกระบวนการ ซึ่งจะต้องรอให้กระบวนการคัดแยกคัดกรองเสร็จสิ้นก่อน จึงจะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครอง ช้าสุดไม่เกิน 15 วันหรือเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเหยื่อในการคัดกรอง คัดแยก และเมื่อเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วว่า เป็นผู้เสียหายก็จะเข้าสู่ความคุ้มครอง แต่หากพบว่า ไมใช่เหยื่อจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเดินทางมารับตัวคนไทยทั้ง 119 คน ในช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. ที่บริเวณด้านหน้าด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ให้สัมภาษณ์ก่อนรับตัวคนไทยว่า หลังได้ตัวทั้ง 119 คนแล้ว จะนำเข้าสู่กระบวนการคัดแยก แล้วส่งต่อว่า ใครมีหมายจับบ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับคดีที่รับแจ้งความไว้ด้วย หลังเข้าสู่กระบวนการคัดแยกแล้วเราพบว่า ไม่ใช่เหยื่อและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเราก็จะขอศาลออกหมายจับทุกคน ซึ่งเราตั้งฐานความผิดไว้ ถ้าไม่ได้เป็นเหยื่อ และเข้าข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะเข้าข่ายความผิดองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ถือว่า เป็นข้อหาที่รุนแรง มีโทษเกิน 10 ปี

\”ทางการกัมพูชาแจ้งว่า ทั้งหมดไปทำความผิดเรื่องอาชญากรรมออนไลน์ โดยระหว่างที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา ไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญ หรือถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ทุกคนสมัครใจ และทางกัมพูชาก็ได้ สอบสวนและส่งให้ทางการไทยดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนผลการสอบเรายังไมได้รับจากกัมพูชา แต่พยานหลักฐานในประเทศไทยเราก็มี ถ้ามีผลสอบมาก็ง่ายขึ้น ซึ่งทั้ง 119 คนมีหมายจับ 7 คน 15 หมายจับ ทั้งยาเสพติดและอื่น ๆ ส่วนกระบวนการคัดกรองของไทยอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง เบื้องต้น จะดูเรื่องการคัดกรองก่อนจะไปคัดแยก\” พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวและว่า

ในจำนวน 119 คนที่จะเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาตินั้น ต้องรอผลสอบและกระบวนการคัดแยก ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี คือ อายุเพียง 17 ปี จำนวน 4 คน หากผลสอบออกมาว่า เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ ก็ถือว่า เป็นเรื่องดี เพราะถ้าเกิดพบว่า พวกนี้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยตรง เราก็จะดำเนินคดีทุกข้อหา โดยจะเอาข้อหาที่หนักที่สุด ทั้ง อั้งยี่ซ่องโจร และถ้าสามารถดำเนินคดีร่วมกันฉ้อโกงได้ ก็จะดำเนินคดีอีกข้อหา

\”ผมต้องการให้เป็นตัวอย่างว่า คนไทยที่ไปหลอกคนไทยด้วยกัน ไปอยู่ต่างประเทศ ไปช่วยคนต่างชาติ ต้องถูกดำเนินคดี ผมไม่อยากเห็นภาพที่ไปหลอกคนไทย ไปช่วยต่างชาติมาหลอกคนไทย แล้วพอกลับมาเมืองไทยบอกว่า ตกเป็นเหยื่อ ผมคิดว่า ตรงนี้ต้องไม่ให้มีต่อไป แล้วถ้าใครตกเป็นเหยื่อเราก็ยินดี ซึ่งในกระบวนการของเรา เราสามารถคัดแยกได้อยู่แล้ว อันนี้เราจะช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อ แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ เราต้องไม่ให้เค้าใช้ช่องนี้กลับมาเมืองไทยโดยไม่ถูกลงโทษ แล้วก็กลับไปทำงานมาหลอกคนไทยอีก ผมจะไม่ให้มีอย่างนี้อีกต่อไป ถ้าเรามีพยานหลักฐานเพียงพอว่า เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่เหยื่อ เราก็จะดำเนินคดีทั้ง 119 คน ซึ่งเราจะใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์\”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับมาตรการซีลพื้นที่ชายแดน ภายใต้เขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ตามนโยบาย Seal Stop Safe นั้น มีสถิติการจับกุมลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ย้อนหลัง 3 ปี (ปี 66 – ปัจจุบัน) พบว่า มีสถิติการจับกุมลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ โดยในเดือน ก.พ.68 ได้จับกุมผู้กระทำความผิด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 13 ครั้ง ผู้ต้องหาชาวไทย 25 คน ชาวจีน 3 คน และชาวอินโดนีเซีย 1 คน

ขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบปัญหาการถูกหลอกลวงลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ หลัง กสทช. ได้ระงับบริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนตาม “ยุทธการล้มเสา ตัดสาย ทำลายซิม” ในพื้นที่ 4 อำเภอเสี่ยง พร้อมดำเนินการ 6 แนวทางการปฏิบัติ ได้แก่ 1) จุดตรวจตรวจค้นบุคคล – ยานพาหนะ 2) ตัดเส้นทางการข้ามแดนแบบผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น 3) ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมาย 4) ตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่รั่วไหลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 5) ตรวจสอบโรงแรม 6) ตรวจสอบบ้านเป้าหมาย
———————————–