สระแก้ว – ตำรวจกัมพูชาจากพนมเปญ บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต ชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วยเหลือเหยื่อ 227 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นคนไทย 125 คน เตรียมส่งกลับมาคัดแยกฝั่งไทยพรุ่งนี้ (24 ก.พ.68)
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากกรณีที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากคนไทย ที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ทำงานอยู่บนตึกสูง 4 ชั้น สีฟ้า ในเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา แอบส่งข้อความและคลิปวีดีโอ ขอความช่วยเหลือมา จนสามารถสืบทราบถึงแหล่งที่ตั้งของอาคารดังกล่าว จากนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย จึงได้ประสานขอความร่วมมือไปยังตำรวจกัมพูชา ซึ่งเดินทางมาจากส่วนกลางกรุงพนมเปญ นำกำลังบุกเข้าตรวจค้นและทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในอาคารดังกล่าว และสามารถช่วยเหลือเหยื่ออกมาได้รวม 227 คน ในจำนวนนี้ มีคนไทย 125 คน เป็นหญิง 60 คน ชาย 65 คน นอกจากนั้น เป็นชาวต่างชาติคือ ปากีสถาน 51 คน, อินโดนีเซีย 3 คน และอินเดีย 48 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา

ล่าสุด หลังจากวันนี้ (23 ก.พ.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในช่วงเช้าวันนี้ ระบุว่า นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับรายงานจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่ารัฐบาลไทยได้ขอความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือในการดำเนินการร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศในการดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ตั้งฐานในฝั่งปอยเปต และได้ประสานงานกับ พล.ต.ต.จุม เรียง รอง ผบ.ตร.กัมพูชา นำกำลังเข้าตรวจค้นอาคาร 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ซึ่งอยู่ใน compound พลาซ่า ซึ่งสายข่าวจากประเทศไทย ระบุว่า มีคนไทยส่วนหนึ่งถูกหลอกไปทำงานซึ่งสถานที่แห่งนี้ มีคนจีนเช่าทำธุรกิจพนันออนไลน์ และหลอกลวงออนไลน์ ในกรุงปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ตรงข้ามกับ บริเวณด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยที่ดินและอาคารดังกล่าวถูกระบุว่า เป็นของผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของ จ.บันเตียเมียนเจย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว ให้ข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่กัมพูชาสามารถช่วยเหลือเหยื่อจากตึกดังกล่าว ออกมาได้ รวมทั้งหมด 227 คน ในจำนวนนี้มี คนไทย 125 คน แบ่งเป็น หญิง 60 คน และชาย 65 คน ,ชาวปากีสถาน 51 คน, อินโดนีเซีย 3 คน และชาวอินเดีย 48 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำและบันทึกประวัติของฝ่ายกัมพูชา จากนั้นจะส่งตัวกลับมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายในวันพรุ่งนี้ (24 ก.พ.) เวลาประมาณ 11.00 น. โดยผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจและฝ่ายกงสุลของไทย จะเดินทางมาที่บริเวณด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าและดำเนินการด้านเอกสาร การบันทึกประวัติและเข้าสู่กระบวนการคัดกรองเหยื่อ เพื่อสอบปากคำเบื้องต้นว่า บุคคลเหล่านี้เป็นเหยื่อหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เพจปอยเปตนิวส์ ได้เผยแพร่ภาพและคลิปวีดีโอ การเข้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ซึ่งคนไทยจำนวนมากถูกนำตัวมารวมกลุ่มไว้หลังถูกจับกุม ซึ่งช่วงขณะที่มีการเข้าจับกุมนั้น มีการนำแชตลับการสนทนาของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในตึกดังกล่าวมาเผยแพร่ด้วย โดยข้อความระบุการสนทนาซักถามกันขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาปิดล้อมว่า \” \”กะจะทักถามว่า เป็นไงบ้าง\” อีกฝ่ายตอบว่า \”ออกไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในห้องร้อนมาก พากันมาแอบในนี้ , ทำไรไม่ได้เลย ,ตม. อยู่ด้านนอก 40 กว่าคันนะ , มันล้อมหมดเลย, รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ \” เป็นต้น กระทั่งทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปจับกุมไว้ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 2 โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 สั่งการให้จัดทีมตำรวจชุดสอบสวนเตรียมดำเนินการใน 2 ส่วน คือ การสอบสวนเพื่อคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ และการประสานข้อมูลการสืบสวนข้อมูลขบวนการคอลเซ็นเตอร์กับตำรวจกัมพูชา ขณะนี้ทราบว่าทางการกัมพูชากำลังคัดกรองตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายของกัมพูชาและจะส่งตัวมายังประเทศไทย โดย ผบช.ภ.2 มอบหมายให้ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 เตรียมแผนการปฏิบัติและกำกับดูแลการปฏิบัติ พร้อมกำชับ พล.ต.ต.ถาวร ดุลยวิทย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ให้จัดพนักงานสอบสวนรองรับการสอบสวน เพื่อการคัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ตามกระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ : National Referral Mechanism (NRM) ซึ่งจะมีหน่วยงานอื่น ๆ บูรณาการกำลังในการคัดกรองด้วย โดยย้ำว่าการสอบสวนต้องเป็นไปอย่างครบถ้วน ถูกต้อง รอบด้าน ให้ความเป็นธรรม ในส่วนของการประสานงานข้อมูลด้านการสืบสวนขบวนการคอลเซ็นเตอร์ กำชับให้ประสานงานกับทางกัมพูชาอย่างใกล้ชิดด้วย

——————————-
ขอบคุณคลิป-ภาพ/ปอยเปตนิวส์