ทหารพรานจับกุม 3 คนไทย ขณะลักลอบข้ามแดนจากฝั่งปอยเปตมายังประเทศไทย

สระแก้ว – เจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อย ทพ.1201 จับกุม 3 คนไทย ขณะลักลอบข้ามแดนจากฝั่งปอยเปต กลับมายังประเทศไทย หลังเดินทางเข้าไปทำงานให้กับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมใบหน้า พยายามเดินทางกลับเข้ามาฝั่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อย ทพ.1201 ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 จัดกำลังพลร่วมกับ ชปข.2 กองกำลังบูรพา , ฉก.อรัญประเทศ และ นฝด.11 ทำการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ โดยได้ตรวจพบบุคคลต้องสงสัย จำนวน 3 คน เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน ขณะกำลังปีนกำแพงลานจอดรถเข้ามาในประเทศไทย บริเวณแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย มุ่งหน้าเข้ามายังประเทศไทย ระหว่างจุดตรวจ จต.อ.21 – จต.อ.22 พิกัด TA 348115 บ.ท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เจ้าหน้่าที่ทหารพรานจึงได้ทำการเข้าตรวจสอบ ทราบว่า เป็นชาวไทย พบหนังสือเดินทางที่ไม่ได้ประทับตราเข้าประเทศไทย จำนวน 2 เล่ม โดยชาวไทยดังกล่าว ได้เดินทางมาจากกรณีโดนหลอกให้ไปทำงานสแกมเมอร์กับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ จ.บันเตียเมียนเจย และ จ.พนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยลักลอบเข้ามายังประเทศไทย เพื่อกลับภูมิลำเนาที่ จ.สระบุรี, จ.สระแก้ว และ จ.ปราจีนบุรี โดยขณะจับกุมไม่พบผู้นำพา เจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อย.ทพ.1201 จึงได้นำตัวชาวไทยดังกล่าว มาตรวจสอบเพิ่มเติมที่ทำการกองร้อย.ทพ.1201
\"\"
ทั้งนี้ จากการสอบสวนชาวไทยดังกล่าว ทราบว่า เดินทางมาจาก จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยที่ จ.สระบุรี จำนวน 1 คน คือ นาย อภิชาติ กำจันทร์ อายุ 26  ปี อุณหภูมิร่างกาย 36.7 องศา ที่อยู่บ้านเลขที่ 115/1 ม.8 ต.โพธิ์ไทร อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ซึ่งอาศัยอยู่ จ.สระบุรี โดย นายอภิชาติ กำจันทร์ ให้การว่า ได้เดินทางมาจาก จ.สระบุรี โดยมีเพื่อนชื่อแบงค์ ชักชวนให้ไปทำงาน ติดต่อทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ค โดยแจ้งว่า ทำงานใน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว รายได้ดี นายอภิชาติฯ จึงสนใจและได้ทำการตอบตกลง ต่อมา เมื่อช่วงประมาณต้นเดือน พ.ย.67 นายอภิชาติฯ ได้ออกเดินทางจากบ้านพักอาศัย จ.สระบุรี เดินทางโดยรถตู้โดยสารสาธารณะ มาถึงที่บริเวณห้างสรรพสินค้าสตาร์พลาซ่าตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้มีบุคคลเพศหญิง ขับขี่รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าสกู๊ปปี้ไอ สีขาวชมพู มารับ โดยมีนายแบงค์คอยประสานงานในการเดินทางให้ ไปส่งบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย – กัมพูชา
\"\"
จากนั้น ได้เดินเท้าข้ามไปยังประเทศกัมพูชาทางช่องทางธรรมชาติ เมื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ได้นั่งรถสามล้อใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที ไปยังตึกสีน้ำเงิน เจ็ดชั้น ในพื้นที่บ้านปอยเปต เป็นตึกปิดทึบมีลูกกรง จากนั้น ผู้นำพาได้ทำการพูดคุยลักษณะสัมภาษณ์งาน และให้เซ็นสัญญาทำงาน เป็นเวลา 6 เดือน จะได้รับเงินเดือนจำนวน 20,000 บาทต่อเดือน จึงได้ทราบว่า เป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟิวแฟน หลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุน และโอนเงินซึ่งอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ใช่ประเทศไทย ในระหว่างทำงานเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน นายอภิชาติฯ รู้สึกไม่สบายใจในงานที่ทำ และรู้สึกกลัวการโดนทำร้ายร่างกายจากข่าวที่ออกมาทางสื่อ จึงมีความต้องการอยากกลับภูมิลำเนา ในวันที่ 15 ก.พ.68 นายอภิชาติฯ จึงได้มองหาทางหลบหนีจากกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ต่อมา เมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 เวลาประมาณ 11.00 นายอภิชาติฯ ได้ทำการแจ้งกับยามที่เฝ้าตึกดังกล่าวว่า มีความต้องการอยากจะไปซื้อของใช้ของกิน เนื่องจากนายอภิชาติฯ ทำงานมาได้ประมาณเกือบ 3 เดือนแล้ว ยามดังกล่าว จึงมีความไว้ใจในตัวของ นายอภิชาติฯ ระดับหนึ่ง จึงได้อนุญาตให้ออกไปซื้อของได้
\"\"
แต่เมื่ออกมาจากตึกดังกล่าวได้ นายอภิชาตฯ จึงได้ให้เพื่อนที่ทำงานฟิวแฟนด้วยกัน จัดหาผู้นำพาให้ จากนั้นเมื่อ ได้พบกับผู้นำพา จึงได้นำนายอภิชาติฯ นั่งรถสามล้อรับจ้างมาที่บริเวณด่านพรมแดนบ้านปอยเปต – คลองลึก ประเทศกัมพูชา จากนั้นนายอภิชาติฯ ได้พบเจอกับ นายชญานนฺท์ เป็นนวล และ น.ส.ชลิตา เสริมทอง ที่เดินมาถามทางลักลอบไปยังประเทศไทย เนื่องจากเห็นเป็นคนไทยด้วยกัน นายอภิชาติฯ จึงได้ชักชวนให้ไปด้วยกัน จากนั้น ผู้นำพาชาวกัมพูชาได้พาคนไทยทั้ง 3 คน ทำการเดินเท้า มาถึงบริเวณแนวชายแดนกัมพูชา–ไทย จากนั้นผู้นำพาได้เรียกเก็บเงินค่านำพาจำนวน 2,500 บาท และให้นายอภิชาติฯ และกลุ่มคนไทย ปีนข้ามกำแพงลานจอดรถเข้ามาในประเทศไทย จนกระทั่ง ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานตรวจพบและถูกจับกุม ในขณะจับกุมไม่พบผู้นำพา
\"\"
ส่วนชาวไทยที่เดินทางมาจาก จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทย จ.สระแก้ว อีก 1 คน ทราบชื่อต่อมาคือ นายชญานนท์ เป็นนวล อายุ 22 ปี อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศา ที่อยู่ บ้านเลขที่ 538 ม.1 ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว  ซึ่งจากการสอบถาม นายชญานนท์ เป็นนวล ให้การว่า ได้เดินทางมาจาก จ.สระแก้ว โดยมีเพื่อนชื่อตี๋ ชักชวนให้ไปทำงาน ติดต่อทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ค โดยแจ้งว่า งานสบายรายได้ดี นายชญานนท์ฯ จึงสนใจและได้ทำการตอบตกลง ต่อมา เมื่อวันที่ 2 ม.ค.68 นายชญานนท์ฯ ได้ออกเดินทางจากบ้านพักอาศัย จ.สระแก้ว เดินทางโดยขี่รถจักรยานยนต์ส่วนตัวมาจอดไว้ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าสตาร์พลาซ่า ตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นได้เดินเท้าเข้าไปประเทศกัมพูชา ทางจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก – ปอยเปต โดยใช้หนังสือเดินทางบอเดอร์พาส เมื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ได้มีผู้นำพาขับรถตู้ส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้า อัลพาด มารับใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ไปยังตึกสีส้มห้าชั้นใน พื้นที่บ้านปอยเปต มีบุคคลเพศชายยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้า
\"\"
จากนั้น ผู้นำพาได้ทำการพูดคุยลักษณะสัมภาษณ์งาน และให้เซ็นสัญญาทำงานเป็นเวลา 6 เดือน จะได้รับเงินเดือนจำนวน 20,000 บาทต่อเดือน จึงได้ทราบว่า เป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟิวแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน ในระหว่างทำงานเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนกว่า นายชญานนท์ฯ รู้สึกไม่สบายใจในงานที่ทำ จึงมีความต้องการอยากกลับภูมิลำเนา ในวันที่ 15 ก.พ.68 นายชญานนท์ฯ จึงได้มองหาทางหลบหนีจากกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ จนเมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 เวลาประมาณ 12.00 น.ที่ผ่านมา นายชญานนท์ฯ ได้ทำการแจ้งกับหัวหน้างานว่า มีความต้องการอยากจะไปซื้อของกิน และได้ออกมาจากตึกดังกล่าว จากนั้นนายชญานนท์ฯ ได้ทำการนั่งรถสามล้อรับจ้าง มาที่บริเวณด่านพรมแดนบ้านปอยเปต-คลองลึก ประเทศกัมพูชา จากนั้นได้พบเจอกับ นายอภิชาติ กำจันทร์ และ น.ส.ชลิตา เสริมทอง จึงได้เดินเข้าไปถามทางกลับไปยังประเทศไทย นายอภิชาติฯ จึงได้ชักชวนให้ไปด้วยกัน จากนั้นผู้นำพาชาวกัมพูชา ได้พาคนไทยทั้ง 3 คน ทำการเดินเท้า มาถึงบริเวณแนวชายแดนกัมพูชา–ไทย จากนั้นผู้นำพาได้เรียกเก็บเงินค่านำพาจำนวน 2,500 บาท และให้นายชญานนท์ฯ และกลุ่มคนไทยปีนข้ามกำแพงลานจอดรถเข้ามาในประเทศไทย จนกระทั่งได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานตรวจพบและถูกจับกุม ในขณะจับกุมไม่พบผู้นำพา
\"\"
ทางด้าน น.ส.ชลิตา เสริมทอง อายุ 41 ปี อุณหภูมิร่างกาย 36.7 องศา ที่อยู่ บ้านเลขที่ 2ข/82 หมู่บ้านรุ่งนภา ถ.อนุกูล ต.กบินทร์บุรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ผู้ถูกจับกุมอีก 1 รา ให้การว่า ได้เดินทางมาจาก จ.ปราจีนบุรี โดยมีรุ่นน้องที่รู้จักกันชื่อชื่อปุ้ย ชักชวนให้ไปทำงาน ติดต่อทางแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ค โดยแจ้งว่า งานสบายรายได้ดี น.ส.ชลิตาฯ จึงสนใจและได้ทำการตอบตกลง ต่อมา เมื่อวันที่ 27 ต.ค.67 น.ส.ชลิตาฯ ได้ออกเดินทางจากบ้านพักอาศัย จ.ปราจีนบุรี เดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ มาลงที่ บขส.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้น ได้นั่งรถสามล้อมาที่บริเวณตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และเดินเท้าเข้าไปประเทศกัมพูชาทางจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก – ปอยเปต โดยใช้หนังสือเดินทางพาสปอร์ต เมื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ได้มีผู้นำพาขับรถเก๋งมารับใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ไปถึง จ.พนมเปญ ประเทศกัมพูชา สถานที่ลักษณะเป็นอาคารออฟฟิศชั้นเดียว จากนั้นผู้นำพาได้ทำการพูดคุยลักษณะสัมภาษณ์งาน และให้เซ็นสัญญาทำงานเป็นเวลา 10 เดือน จะได้รับเงินเดือนจำนวน 32,000 บาทต่อเดือน จึงได้ทราบว่า เป็นงานประเภทสแกมเมอร์ฟิวแฟนหลอกลวงให้บุคคลอื่นทำการร่วมลงทุนและโอนเงิน
\"\"
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างทำงานเนื่องจากทำยอดไม่ได้ จึงได้ถูกเปลี่ยนงานให้ไปอยู่ฝ่ายบุคคล (HR)  จากนั้นได้รับแจ้งจากทางบ้านว่า บุตรป่วย จึงมีความต้องการอยากกลับภูมิลำเนาเพื่อไปเยี่ยมบุตร ในวันที่ 15 ก.พ.68 น.ส.ชลิตาฯ ได้แจ้งกับที่ทำงานว่า ขอกลับไปเยี่ยมบุตรที่ประเทศไทยพร้อมสามี ที่ตามมาทำงานด้วยกัน แต่ทางที่ทำงานไม่ให้ตัวสามีไป ให้ น.ส.ชลิตาฯ ไปได้คนเดียว ต่อมา เมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 น.ส.ชลิตาฯ ได้เดินทางออกจากสถานที่ทำงานดังกล่าว นั่งรถยนต์ส่วนตัวที่ทางที่ทำงานจัดหาให้ มาถึงบริเวณด่านพรมแดนบ้านปอยเปต-คลองลึก ประเทศกัมพูชา เนื่องจากอยู่กัมพูชาเกินกำหนดวันเวลา จึงได้หาวิธีลักลอบเข้าประเทศไทย จากนั้นได้พบเจอกับ นายอภิชาติ กำจันทร์ และ นายชญานนท์ เป็นนวล จึงได้เดินเข้าไปถามทางกลับไปยังประเทศไทย นายอภิชาติฯ จึงได้ชักชวนให้ไปด้วยกัน จากนั้น ผู้นำพาชาวกัมพูชาได้พาคนไทยทั้ง 3 คน ทำการเดินเท้า มาถึงบริเวณแนวชายแดนกัมพูชา–ไทย จากนั้นผู้นำพาได้เรียกเก็บเงินค่านำพาจำนวน 3,000 บาท และให้ น.ส.ชลิตาฯ และกลุ่มคนไทยปีนข้ามกำแพงลานจอดรถ เข้ามาในประเทศไทย จนกระทั่ง ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานตรวจพบและถูกจับกุม ก่อนนำตัวไปสอบสวนและทำบันทึกจับกุม และนำตัวชาวไทยดังกล่าว ส่งให้กับพนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก  เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
\"\"
—————————
ภาพ/กกล.บูรพา