เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 \’ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม\’ รายงานว่า นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โดยได้ลงพื้นที่ก่อสร้าง 2 จุด ได้แก่ พื้นที่เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ (Seamless logistics) กับระบบราง และพื้นที่ตรวจปล่อยสินค้าร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ (CCA) พร้อมรับฟังรายงานสรุปการดำเนินงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนมครั้งนี้ พบว่า การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแผนงานที่กำหนดไว้ มีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางถนนกับระบบรางเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ของกระทรวงคมนาคม ซึ่ง ขบ. ได้ดำเนินโครงการในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership: PPP)
ถือเป็นหนึ่งในโครงการนำร่องพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) ในส่วนภูมิภาค เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าทางถนนระหว่างประเทศบนเส้นทาง สาย R12 เชื่อมต่อการขนส่งระหว่างไทย – สปป.ลาว – เวียดนาม – จีนตอนใต้ (นครหนานหนิง) และรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งกับระบบราง (Modal Shift) ผ่านแนวการพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ สายบ้านไผ่ – นครพนม ของ รฟท.
นอกจากนี้ ภายในโครงการยังมีพื้นที่รองรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานตรวจปล่อยสินค้า (Customs, Immigrations and Quarantines: CIQ) ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อดำเนินพิธีการเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้อย่างครบวงจรในจุดเดียว สำหรับภาพรวมการก่อสร้างล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 95 ปัจจุบัน ขบ. อยู่ระหว่างก่อสร้างส่วนที่ภาครัฐรับผิดชอบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ในส่วนของบริษัทผู้ร่วมลงทุนได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างงานในระยะที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนอาคารที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ได้แก่ อาคารคลังสินค้า และอาคารรวบรวมและกระจายสินค้า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการติดตั้งเครื่องมือและระบบสำหรับการบริหารจัดการ โดยตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมลงทุน ผู้ร่วมลงทุนจะต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้ และมีหน้าที่จ่ายค่าสัมปทานให้แก่ภาครัฐ ตามรูปแบบการร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost ตลอดระยะเวลา 30 ปี (2568 – 2597) นับจากปีเปิดให้บริการ ทั้งนี้ หากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้กับผู้ประกอบการขนส่งและในภาพรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังช่วยผลักดันให้จังหวัดนครพนมก้าวเป็น “ศูนย์กลางทางด้านการขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน” รวมทั้งช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในจังหวัดนครพนมและจังหวัดข้างเคียงในอนาคตต่อไป