“หมอไพโรจน์” — จากหมอใหญ่โรงพยาบาล สู่สนามการเมืองท้องถิ่น …เส้นทางนี้ไม่ได้ง่าย เปิดเส้นทางหนึ่งในผู้สมัครผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองมหาสารคาม ที่น่าจับตามอง
ในสนามเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองมหาสารคามปี 2567 หนึ่งในผู้สมัครที่น่าจับตามองอีกคน คือ นพ.ไพโรจน์ ศิตศิรัตน์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองมหาสารคาม หมายเลข 1 จากแพทย์ที่มากประสบการณ์ในโรงพยาบาลประจำจังหวัด ลงทุนลาออกและผันตัวสู่สนามการเมืองท้องถิ่น หวังทำอุดมการณ์ให้เป็นจริง….เวทีนี้สวมเสื้อกาวน์ไม่พอ ต้องสวมใจประชาชน

“หมอไพโรจน์” เป็นสูติแพทย์ (หมอทำคลอด) ที่มีประสบการณ์สูงและขึ้นชื่อคนหนึ่งของ จ.มหาสารคาม มีประวัติรับราชการที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดมามากกว่า 20 ปี เคยเป็นหัวหน้าห้องคลอด (คิดคราว ๆ น่าจะเคยทำคลอดเด็กมาแล้วเฉียดหมื่นคน) เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานด้านสุขภาพระดับจังหวัด และมีบทบาทในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำกลุ่มจิตอาสาอาชาบำบัด เพิ่มทักษะการเรียนรู้ให้เด็กออทิสติก รวมถึงเคยเป็นประธานชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดมหาสารคาม
มีความเข้าใจลึกซึ้งในปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ จนในระยะหลังถูกทาบทามจากกลุ่มอดีตพรรคก้าวไกล (ต่อมาถูกยุคพรรคและเปลี่ยนมาเป็นพรรคประชาชน) ให้มาทำงานการเมืองในพื้นที่ร่วมกัน ในห้วงการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 โดยระยะแรกจะเห็นหมอปรากฏตัวเป็นทีมผู้ช่วยหาเสียงให้กับอดีตผู้สมัคร สส. เขต 1 ของพรรคก้าวไกลรายหนึ่ง จนจบศึกการเลือกตั้งครั้งนั้น หมอได้แยกตัวออกมาทำงานพื้นที่ด้วยตนเอง โดยตั้งเป้าสนามการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองมหาสารคาม เป็นประเดิม

เพราะเป็นผู้มาใหม่…. “หมอไพโรจน์” รู้ตัวว่าฐานเสียงน้อย จึงชิงออกสตาร์ทก่อนใครเพื่อน เดินแนะนำตัวกับชาวชุมชนต่าง ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย พร้อมดูแล-แนะนำสุขภาพแก่ชาวบ้านในฐานะที่เป็นหมอไปด้วยในตัว เข้าออกทุกซอย ทุกชุมชนเดินวนอย่างนี้มาปีกว่า จนในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกเพื่อมาทุ่มเทให้กับการหาเสียง มุ่งเป้าเก้าอี้นายกเทศฯ อย่างเต็มตัว
แต่เหตุการณ์พลิกผันได้เกิดขึ้น…“หมอไพโรจน์” ซึ่งเคยถูกคาดว่าจะเป็นผู้สมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองมหาสารคาม ในนามพรรคประชาชน กลับถูกปัดตก ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกรรมการพรรคระดับจังหวัด แต่กลายเป็นนักธุรกิจ และอดีตผุู้สมัคร สว.รายหนึ่ง ได้รับการสนับสนุนให้ลงสมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองมหาสารคาม เบียดเข้าเส้นแทน “หมอไพโรจน์” ในรอบการสัมภาษณ์ตัดสิน เกิดดราม่า และสร้างความประหลาดใจแก่ผู้ติดตามการเมืองท้องถิ่นพอสมควร

มีเวลาผิดหวังไม่นาน…“หมอไพโรจน์” ปลุกทีมงานลงพื้นที่หาเสียงอีกครั้ง โดยรอบนี้ชูธงเป็นผู้สมัครอิสระ มีทีมที่ปรึกษาเป็นหมอชื่อดังในจังหวัดหลายคน มีทีมงานบริหาร พร้อมสมาชิกครบทุกเขต ระดมสมอง กลั่นนโยบายที่มาจากความตั้งใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาตลาดสดเทศบาล ไม่ย้าย! แต่ปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม หวังตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าตลาดเทศบาล ปลุกชีวิตตลาดชุมชน ตลาดนัด ตลาดเย็น ตลาดนัดทุกแห่งในมหาสารคามหวังกระตุ้นการจับจ่าย สนับสนุนการค้าขายออนไลน์ ให้พ่อค้าแม่ค้าเข้าถึงตลาดยุคดิจิทัล กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น พัฒนาศาลา SML สู่ Co-Working Space จุดรวมตัวของชุมชน และยกระดับเทศบาลเมืองมหาสารคามสู่ “การเมืองใหม่” ที่โปร่งใสและเปิดเผยข้อมูลและให้ประชาชนตรวจสอบได้
มีไฮไลท์เด่น คือ พลิกโฉมเลิงน้ำจั๊น สู่ Sports Complex และแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมือง โดยมองว่าพื้นที่เลิงน้ำจั๊น ซึ่งเป็นพื้นที่มีศักยภาพแต่ที่ผ่านมาถูกมองข้าม จะถูกวางแผนพัฒนาให้เป็น Sports Complex ศูนย์กลางกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้งแห่งแรกของจังหวัด ให้ชาวเมืองมีพื้นที่ออกกำลังกายที่ได้มาตรฐาน มีพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ สำหรับเด็ก เยาวชน และเป็นทั้งแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และดันให้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วย

แม้ “หมอไพโรจน์” จะมีชื่อเสียงในแวดวงสาธารณสุข แต่ในเวทีการเมืองท้องถิ่น การมีฐานเสียงที่เหนียวแน่นจากตระกูลนักการเมืองท้องถิ่น หรือเครือข่ายชุมชนที่สั่งสมมานาน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งในจุดนี้ หมอไพโรจน์อาจเสียเปรียบผู้สมัครรายอื่นที่มี “ทุนทางสังคม” และความสัมพันธ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้นำชุมชนเดิม รวมถึงนโยบายที่แตกต่างและกระแทกใจประชาชน ไม่เหมือนผู้สมัครรายอื่น ๆ
ดังนั้นชัยชนะของ “หมอไพโรจน์” จึงขึ้นอยู่กับการทำลายข้อจำกัดเหล่านี้ ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงหมอที่รักษาคน แต่คือผู้นำที่สามารถรักษา “เมือง” ได้เช่นกัน หากประชาชนผู้ลงคะแนน มองถึงศักยภาพของตัว “หมอไพโรจน์” และทีมที่แข็งแกร่ง สื่อสารนโยบายอย่างเข้าใจง่าย และการลงพื้นที่สร้างสายสัมพันธ์กับชาวบ้านจนเป็นแรงสนับสนุนได้จริง ก็อาจเปลี่ยนเกมการเมืองนำสู่ชัยชนะครั้งนี้ได้
——————————
เทศบาลเมืองมหาสารคามในวันนี้ กำลังถูกมองว่าเป็นเมืองแช่แข็ง ไร้สีสันและแรงดึงดูดในการลงทุน แถมกำลังเผชิญความท้าทายด้านการพัฒนามากมาย แต่หากมีผู้นำที่จริงใจ ทุ่มเท และกล้าคิดกล้าทำเพื่อส่วนรวม โอกาสในการเปลี่ยนแปลงก็อาจเป็นจริงได้ ดังนั้นการตัดสินใจของพี่น้องชาวเทศบาลเมืองมหาสารคามครั้งนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเมืองมหาสารคามในอนาคต
