\”ศ.นพ.ประกิต\”เตือน!เด็กไทยยังเสี่ยงภัยบุหรี่ไฟฟ้า ปูด!ธุรกิจบุหรี่ล็อบบี้-แทรกแซงสภาฯ ดันยกเลิกกฎหมายแต่ไม่สำเร็จ

เพชรบูรณ์ – \”ศ.นพ.ประกิต\”เตือน!เด็กไทยยังเสี่ยงภัยบุหรี่ไฟฟ้า ปูด!ธุรกิจบุหรี่ล็อบบี้-แทรกแซงสภาฯ ดันยกเลิกกฎหมายแต่ไม่สำเร็จ

ศาสตราจารย์นายแพทย์(ศ.นพ.) ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในเวทีเสวนา “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคตินเสพติด จน ตาย” ที่ จ.เพชรบูรณ์ เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก ปี 2568 เมื่อค่ำของวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยระบุถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน แต่กลับกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งยังชี้ว่าผู้ที่หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากไม่ได้เลิกบุหรี่มวน แต่กลับสูบทั้งสองอย่างควบคู่กัน โดยเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่า ซึ่งในความเป็นจริงกลับเสี่ยงมากกว่า เช่น ในกรณีของโรคหลอดเลือดหัวใจ ผู้ที่สูบทั้งสองอย่างมีความเสี่ยงสูงถึง 4 เท่า ขณะที่ผู้สูบบุหรี่มวนเพียงอย่างเดียวเสี่ยง 2 เท่า

\"\"

ศ.นพ.ประกิต กล่าวว่า บุหรี่มวนถูกควบคุมด้วยกฎหมาย ทั้งในเรื่องการห้ามเติมกลิ่นหอม การควบคุมบรรจุภัณฑ์ไม่ให้มีสีฉูดฉาด แต่บุหรี่ไฟฟ้ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่เย้ายวน การตลาดที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดึงดูด และยังมีสารเคมีที่ไม่มีในบุหรี่มวน เช่น สารละลายที่ใช้นิโคตินในรูปของเหลว ซึ่งเป็นเทคนิคของบริษัทที่มุ่งเป้าหมายไปที่เยาวชนโดยตรง

ศ.นพ.ประกิต กล่าวว่า มีความพยายามของบริษัทบุหรี่ในการชี้นำว่าชาวไร่จะได้ประโยชน์จากบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งที่ความจริงแล้วบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ใช้ใบยา แต่ใช้นิโคตินสังเคราะห์ซึ่งต้นทุนถูกกว่า บริษัทเหล่านี้มีประวัติหลอกลวงอย่างยาวนาน ถูกศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมจากการหลอกประชาชนเรื่องความปลอดภัยของบุหรี่

\"\"

ทั้งนี้ศ.รพ.ประกิตยังเตือนถึงกลยุทธ์ที่อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่า ทั้งที่ไม่มีหลักฐานรองรับ และถูกนำมาใช้เพียง 10 ปีเท่านั้น ขณะที่บุหรี่มวนใช้มาเกือบ 40 ปี ในอดีตถึงขั้นมีการใช้บุคลากรทางการแพทย์โฆษณาบุหรี่ ปัจจุบัน บริษัทบุหรี่ยังใช้อินฟลูเอนเซอร์ และตั้งกลุ่มล็อบบี้นักการเมิอง และยังแทรกแซงไปถึงในสภา คนที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่เข้าไปเป็นกรรมาธิการในสภาฯ ผลักดันที่จะให้ยกเลิกกฎหมายห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้า พยายามมา 3-4 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเพราะรัฐบาลยังยืนหยัดไม่ให้ขายอย่างถูกกฎหมาย

ศ.นพ.ประกิตเน้นว่า การห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าคือการควบคุมสิ่งที่เด็กชอบ เพราะเมื่อไม่สามารถเข้าถึงของที่เย้ายวนได้ ความนิยมจะลดลง ในขณะที่การเปิดเสรีจะทำให้สถานการณ์แย่ลงเหมือนเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 12-17 ปี ที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 123 ของโลกในด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ปัญหาหลักคือการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ยาเสพติด และสุขภาพจิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้สารเสพติด

\"\"

ด้าน นพ.ชยนันท์ สิทธิบุศย์ ผู้อำนายการกองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และรักษาการนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า ในปีนี้ประเทศไทยเห็นด้วยกับท่าทีขององค์การอนามัยโลก ที่ต้องคอลเอาต์(แสดงจุดยืน) ไม่ใช่แค่พูดอย่างน่อมแหน่มอีกต่อไป แต่ต้องกล้าตั้งคำถาม และเปิดโปงความจริง เพราะนิโคตินเป็นพิษ เสพติด ทำลายสุขภาพ และซ้ำเติมฐานะทางเศรษฐกิจ ถึงเวลาแล้วที่การรณรงค์ต้องเข้มข้นกว่าที่เป็นอยู่ และต้องออกมาปกป้องเด็กเยาวชน โดยยกตัวอย่างเพชรบูรณ์ซึ่งสามารถควบคุมการใช้ยาสูบได้ดี แม้จะเป็นแหล่งปลูกใบยาสูบก็ตาม ถือเป็นตัวอย่างที่ควรชื่นชม

\"\"

ศ.นพ.ประกิต ยังระบุด้วยว่า ภาคเหนือซึ่งเคยมีอัตราการสูบบุหรี่สูงถึง 36% เมื่อ 37 ปีก่อน ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 15% ลดลงถึง 58.3% ซึ่งมากที่สุดในประเทศ โดยค่าเฉลี่ยทั่วประเทศลดลง 48.4% เพชรบูรณ์เองก็ลดจาก 17.9% เหลือ 15.9% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 16.5% อย่างน่าภูมิใจ

\”ในขณะที่ภาคอีสานลดลง 51% ภาคกลางลดลง 50% กรุงเทพมหานครลดลง 38% ส่วนภาคใต้ลดลงเพียง 30% ซึ่งยังน่าเป็นห่วง จึงอยากให้ทุกคนร่วมชื่นชมในความสำเร็จ และสนับสนุนภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนต่อไป โดยมีเป้าหมายว่าในการสำรวจครั้งหน้าจะเห็นตัวเลขที่ลดลงยิ่งกว่านี้อีก\”ศ.นพ.ประกิตกล่าว.

\"\"

\"\"

\"\"