ตรัง-เลขาธิการ ป.ป.ช. ควงสื่อส่วนกลาง ลุยตรวจสอบโครงการทิ้งร้าง ตรังครองแชมป์คดีร้องเรียนมากสุดภาค 9 ทิ้งงาน-ทิ้งร้าง 2 พันล้าน ลุยสำนวนยึดสำเร็จ 5 แปลงรุกเกาะกระดาน บุกเยี่ยมหอศิลป์พระยารัษฎาฯ 8 ปีสร้างไม่เสร็จ นายกฯเล็กส่งรองฯแจง เซ็นต์สัญญาจ้าง 289 ล้านแล้ว เตรียมเดินหน้าสร้าง 720วัน ผอ.อาคาร อ้างช้าเพราะติดเจรจาค่าเช่าธนารักษ์ ป.ป.ช. เตือนสร้างเสร็จก็อีกเรื่อง อุทาน! ใหญ่ขนาดนี้ ระบบบริหารรายรับ-รายจ่าย-ค่าดูแล เป็นอย่างไร? รองนายกฯขอกลับไปคุยกันก่อน แต่มี TK PARK-มิวเซียมสยาม เล็งมาอยู่แล้ว ผอ.ป.ป.ช.ตรัง กำชับต้องดูแลใกล้ชิดเพราะเสี่ยงทิ้งงานอีก
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรงแรมเรือรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดตรัง นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ และร่วมวงเสวนา เกี่ยวกับสถิติคดีและเรื่องร้องเรียนของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 การบุกรุกที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมพื้นที่เกาะกระดาน การจัดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ความเสี่ยงในการจัดจ้างต่อเติมงานก่อสร้างหอศิลป์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ของเทศบาลนครตรัง ซึ่งก่อสร้างมาแล้วกว่า 8 ปี ไม่แล้วเสร็จ
โดยนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญต้องอาศัยสื่อมวลชนในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการทุจริตรวมทั้งการทิ้งงาน ทิ้งร้าง งานก่อสร้างทั่วทุกภาคสร้างความเสียหายให้แก่งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทำผิดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าหน่วยงานที่พบมีการร้องเรียนเข้ามามาที่สุด ประกอบด้วย หน่วยงานกรมชลประทาน รองลงมาคือ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 32 เรื่อง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 31 เรื่อง มากที่สุดคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 20 เรื่อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 27 เรื่อง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม 23 เรื่อง และหน่วยงานทหาร 10 เรื่อง นอกจากการตรวจสอบการทุจริตแล้ว ป.ป.ช.ยังได้ร่วมกับ EXIM BANK ถ้าบริษัทเอกชนใดสามารถป้องกันการทุจริตไม่มีเรื่องของการจ่ายสินบน ไม่มีเรื่องการทำผิดกฎหมายต่างๆจะได้รับสิทธิพิเศษในเรื่องของดอกเบี้ยเงินกู้ การส่งเสริมให้คนคิดดีทำดี ในลักษณะการให้รางวัลสร้างแรงจูงใจหวังว่าสังคมโดยภาพรวมจะดีขึ้น
ด้านนายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 กล่าวว่า จังหวัดที่มีการร้องเรียนมากที่สุดในพื้นที่ภาค 9 ได้แก่ ตรัง 61 เรื่อง สงขลา 45 เรื่อง นราธิวาส 46 เรื่อง ปัตตานี 44 เรื่อง พัทลุง 40 เรื่อง และสตูล 22 เรื่อง สำหรับ จ.ตรังที่มีการร้องเรียนมากที่สุด อาจจะถือได้ว่าประชาชนในจังหวัดมีความตื่นตัว เวลาพบเห็นสิ่งผิดปกติจะร้องเรียน ซึ่งเรารับไว้ตรวจสอบเบื้องอยู่
ขณะที่นายมงคล ศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คดีทรัพยากรที่อยู่ในป.ป.ช. ประมาณ 1,500 คดี ตรวจสอบแล้วมีมูลและตั้งไต่สวนทั้งประเทศมี 400 กว่าคดี ส่วนที่เหลืออีกกว่า 1,000 คดี อยู่ระหว่างการตรวจสอบ หรือประมาณร้อยละ 10 ของคดีทั้งหมดที่อยู่ใน ป.ป.ช. ส่วนที่มีมูลและตั้งไต่สวน 400 กว่าคดีนี้ อยู่ในสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรกว่า 100 เรื่อง รวมทั้งคดีในจังหวัดตรังเรื่องการบุกรุกเกาะกระดานด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลแล้ว และส่งคืนกลับให้รัฐแล้ว จำนวน 5 แปลง เหลืออีก 1 แปลงที่อยู่ระหว่างการไต่สวน โดยพื้นที่ที่ส่งคืนแล้ว ป.ป.ช.ยังต้องไปติดตาม อย่างไรก็ตาม เรื่องการบุกรุก มีตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับล่างไปจนถึงระดับสูงมีส่วนเข้าไปสั่งการหรือไปสั่งให้มีนอมินีเข้าไปถือครองที่ดิน รวมไปถึงท้องถิ่นปล่อยปละละเลย รับส่วย ไปจนถึงเข้าไปในกลุ่มของขบวนร่วมออกโฉนดที่ดิน
นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง กล่าวถึงภาพรวมการทุจริตใน จังหวัดตรัง ว่า กรณีปัญหาการทิ้งงาน หรือทิ้งร้าง สร้างความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดิน โดยภาพรวมทั้งหมดในจังหวัดตรังมี 23 โครงการ งบประมาณ 2,095 ล้าน รวมทั้งอาคารผู้โดยสารสนามบินตรังหลังใหม่ และอาคารหอศิลปวัฒนธรรมพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ของเทศบาลนครตรัง ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 2559 ใช้งบประมาณไป 4 ครั้ง ขณะที่ใช้งบรวมกันไม่น้อยกว่า 390 ล้านบาท โดยจังหวัดตรังในขณะนั้น ใช้งบกลุ่มจังหวัด จำนวน 39 ล้านบาทเศษ ต่อมามีเงื่อนไขว่าจะมอบให้เทศบาลนครตรังดูแล โดยในปี 2560 เทศบาลนครตรัง ได้ตั้งจ่ายงบใหม่เพื่อใช้ในโครงการนี้ 61 ล้านบาท หลังจากนั้นในปี 2562 จะดำเนินการสร้าง เพื่อโอนให้เทศบาลนครตรัง แต่ก็ยังไม่เสร็จ จน ป.ป.ช.ไปลงติดตามเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็มีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ โดยใช้ค่าจ้าง 3.5 ล้านบาท ปรากฏว่า ดำเนินการตามสัญญาจ้างเรียบร้อย ณ วันนี้ และมีการตรวจรับงานด้านที่ปรึกษาได้ปรึกษาเนื้อหาแนวทางแล้ว จนเคาะราคากลางก่อสร้างเพิ่มอีก 287 ล้านบาท ทาง ป.ป.ช.จะติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเสี่ยงว่าจะมีการทิ้งงานอีก
จากนั้น คณะได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม เทศบาลนครตรัง โดยมีนายนิวรณ์ แสงวิสุทธิ์ รองนายกเทศมนตรีนครตรัง นายธวัช องศารา ผอ.ส่วนควบคุมอาคาร และหัวหน้าฝ่ายพัสดุ ร่วมให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ทางเทศบาลได้ผู้รับเหมาใหม่และเซ็นต์สัญญาไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา โดยสัญญาเริ่ม 28 มกราคม ขณะนี้ผู้รับจ้างแจ้งเข้าทำงานแล้ว ระยะเวลา 720 วัน คาดหวังว่าจะไม่ทิ้งร้างและได้เตรียมการตั้งรับด้วยการคุยกันเรื่องข้อกฎหมาย รวมทั้งมีหนังสือสั่งการของกรมบัญชีกลางเรื่องการเร่งรัดในการบริหารสัญญาจะเอามาใช้กับการติดตามการก่อสร้างครั้งนี้ โดยมีข้อบังคับการบริหารสัญญาชัดเจนโดยมีการระบุเวลา และเรามีบทเรียนมาแล้วจะนำมาใช้กับการบริหารสัญญารอบนี้ และให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด โดยได้เตรียมแผนดำเนินการกับโครงการ TK PARK และ มิวเซียมสยาม ซึ่งได้ทำข้อตกลงไว้แล้ว ซึ่งอาร์ซีตรัง และจะให้มิวเซียมสยามมาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งทุกอย่างได้ประสานและตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว
“ส่วนจะหางบประมาณส่วนไหนมาดูแลบริการจัดการศูนย์ฯ จะต้องมีการพูดคุยกันต่อไป เพราะลำพังเทศบาลดูแลเองคงไม่ไหว โดยหลักการต้องให้อาคารนี้ดูแลตัวเองได้ เป็นเป้าหมายที่คาดหวังและเป็นโจทย์ที่ต้องคิดต่อไป” นายนิวรณ์ กล่าว
ด้าน นายธวัช องศารา ผอ.ส่วนควบคุมอาคาร กล่าวชี้แจงว่า ส่วนอาคารที่เหลือก็ต้องหาวิธีบริหารจัดการจะใช้พื้นที่อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถือเป็นโจทย์ที่เทศบาลจะต้องดำเนินการ ซึ่งเป็นแผนการเดิม แต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทิ้งร้าง แต่มีปัญหาเรื่องเงื่อนไขจะต้องตกลงกับกรมธนารักษ์ เดิมธนารักษ์จะคิดค่าเช่า แต่ทางเทศบาลไม่ได้นำมาบริหารในเชิงพาณิชย์ จึงทำตามเงื่อนไขของกรมธนารักษ์ไม่ได้ แต่ตอนนี้กรมธนารักษ์เข้าใจเจตนาของเทศบาลแล้ว เทศบาลจึงดำเนินการต่อ และสร้างเสร็จก็เป็นทรัพย์สินของกระทรวงการคลัง ที่มีเงื่อนไขไม่ให้หาผลประโยชน์
ขณะที่นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวฝากกับฝ่ายเทศบาลนครตรังว่า งบประมาณใหม่ที่จะก่อสร้างกว่า 289 ล้านบาท ต้องบริหารสัญญาให้เป็นไปตามสัญญา แต่สถานที่ใหญ่มากแบบนี้ ทางเทศบาลจะต้องมีแผนรองรับและคิดต่อในการดำเนินการจัดกิจกรรมทั้งเรื่องงบประมาณดูแลสถานที่ ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ไม่เช่นนั้นพอการก่อสร้างผ่านไป 700 วัน อาคารสร้างเสร็จแล้ว ถ้าไม่วางแผนรองรับไว้จะไปต่อลำบาก สภาพก็จะออกมาใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ และถูกทิ้งเอาไว้เหมือนกับตอนนี้อีก เพราะไม่มีรายได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเหมือนกับโครงการใหญ่ ๆ หลายที่ลักษณะเป็นปัญหาอยู่ ฝากเป็นข้อสังเกตไว้ให้ทางเทศบาล สุดท้ายแล้วแม้ทรัพย์สินจะเป็นของกระทรวงการคลัง แต่ก็ต้องมอบให้เทศบาลบริการจัดการอยู่ดี ต่อไปเปิดแล้วต้องบริหารจัดการให้ได้ หรือเปิดไปแล้วต้องหยุดกิจกรรม ซึ่งปัญหาลักษณะนี้ก็มีให้ศึกษากันมาแล้ว เพราะงบประมาณก่อสร้างใหม่จำนวนมากรวมกว่า 300 ล้านบาท ต้องวางแผนรองรับด้วย