ตรัง นายกิจ หลีกภัย อดีตนายกอบจ.ตรัง สั่งทนายเปิดบ้านวิเศษกุล แถลงโต้คดีอนุญาตเอกชนขนถ่ายสินค้าท่าเรือนาเกลือ เคารพคำตัดสินศาลแต่ไม่ได้ทุจริต แค่ผิดระเบียบ ใช้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อ โวยจนท.ป.ป.ช.ตรังทำสำนวนเป็นคู่ปรับเก่ามีคดีฟ้องร้องกันมาก่อน ส่วนคดีซื้อที่ดินแพง พร้อมยกเหตุซื้อขายจริงแพงกว่าราคาประเมิน เพราะอยู่ในเขตพัฒนาอุตสาหกรรมการเดินเรือ
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่บ้านวิเศษกุล เลขที่ 183 ถ.วิเศษกุล ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง นายชัยพร ชูเสน ทีมทนายประจำตัวนายกิจ หลีกภัย อดีตนายกฯอบจ.ตรัง พี่ชายนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯและอดีตประธานรัฐสภา พร้อมด้วย นายธโนภาส สินไชย ผู้ช่วยส.ส.(นายชวน หลีกภัย) รับมอบหมายจากนายกิจให้ร่วมแถลงข่าวคดีคำพิพากษาศาลอาญาทุจริตภาค 9 พิพากษาจำคุกนายกิจ 3 ปี 4 เดือน แต่ให้รอลงอาญา กรณีให้บริษัทเอกชนนำเครื่องจักรกลให้บริการที่ท่าเรือนาเกลือ ภายหลังคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดแล้ว ทั้งนี้ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราบการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จึงพิพากษาให้จำเลยจำคุก 5 ปี และปรับ 120,000 บาท การสืบพยานของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 68,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 2 ปี
นายชัยพร ชูเสน ทีมทนายประจำตัวนายกิจ หลีกภัย อดีตนายกอบจ.ตรัง กล่าวว่า จากคำพิพากษาศาลคดีให้บริษัทฯ เอกชนนำเครื่องจักรกลให้บริการที่ท่าเรือนาเกลือ นายกิจน้อมรับในคำพิพากษา โดยขอใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ต่อศาลในชั้นต่อไปตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป แต่ที่ต้องเปิดแถลงข่าวก็เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนในกรณีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด เรื่องทำบันทึกข้อตกลง MOU ให้ บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) นำเครื่องจักรกล 8 รายการ เข้าให้บริการยกขน สินค้าและจอดประจำที่ท่าเรือบ้านนาเกลือ โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมการจอด ตามที่ปรากฏเป็นข่าวสื่อมวลชน จากการแถลงข่าวของสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง นั้น ในกรณีนี้ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นหน่วยงาน ต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เหมาะสม ในส่วนสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรังนั้น ก่อนที่คณะกรรมการป.ป.ช.จะมีมติชี้มูลความผิดว่านายกิจได้ทำบันทึก ข้อตกลงให้บริการเครื่องจักรกลกับบริษัท ชูไก อันมีลักษณะเป็นการมอบหมายให้เอกชนกระทำกิจการแทนอบจ.ตรัง ที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ด้วยการจัดให้มีการศึกษา วิเคราะห์ โครงการก่อน เพื่อเสนอต่อสภาอบจ. และเมื่อสภาเห็นชอบ ต้องเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อผู้ว่าเห็นชอบ ให้อบจ.ร่างประกาศเชิญชวน วิธีการคัดเลือกซึ่งต้องใช้วิธีการประมูล โดยคำนึงถึงระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของอปท.เป็นหลัก ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการให้เอกชนกระทำ กิจการของอบจ.ตรัง พ.ศ.2541 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 และข้อ 9
นายชัยพรกล่าวอีกว่า โดยป.ป.ช.ตรังระบุการกระทำของนายกิจไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์โครงการ ไม่ได้นำเรื่องเสนอสภาฯ ไม่ได้เสนอผู้ว่าฯ ไม่ได้ประกาศเชิญชวน ไม่ได้จัดให้มีการประมูล จึงเป็นการกระทำกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพ.ร.บ.อบจ. พ.ศ.2541 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และเป็นความผิดตามพรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต นั้น ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง ได้ถูกนายกิจ แจ้งความดำเนินคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาท ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง นอกจากนี้นายกิจยังได้ร้องเรียนเจ้าหน้าที่และผอ.ป.ป.ช.ตรัง ต่อประธานคณะกรรมการป.ป.ช. ให้ตั้ง กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ตรังด้วย เหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านายกิจ มีความขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าหน้าที่บางคนในสำนักงานป.ป.ช.ตรังจริง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ตรังก็ได้ฟ้องคดีอาญานายกิจ และนายชาญยุทธ เกื้ออรุณ อดีตเลขานุการนายกฯอบจ.ตรัง(นายกิจ) เป็นคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลจังหวัดตรังด้วยอีก 1 คดี เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเจ้าหน้าที่บางคนในสำนักงานป.ป.ช.ปปช.ตรัง กับนายกกิจ อย่างชัดเจน ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้นายกิจชนะคดีเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ตรังทั้ง 3 ศาล
นายชัยพร กล่าวว่า ในคดีนี้ เมื่อมีการร้องเรียนว่านายกิจไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.อบจ. จนท้ายที่สุดคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชขี้มูลความผิดดังกล่าวต่อนายกิจ โดยในส่วนที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติว่า การที่บริษัท ชูไก นำเครื่องจักรกล 8 รายการมาจอดไว้ที่ท่าเทียบเรือบ้านนาเกลือเกิน 24 ชั่วโมง โดยนายกิจไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจอดนั้น คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติว่านายกิจ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เก็บ ค่าธรรมเนียมค่าจอดเครื่องจักรกลที่บริษัท ชูไก นำมาจอดไว้ และได้ส่งสำนวนการไต่สวนให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายกิจ ในข้อหาดังกล่าว และเมื่อศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ได้มีการไต่สวนหรือสืบพยานแล้วก็ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ซึ่งก็หมายความว่านายกิจชนะคดีในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 คำพิพากษาดังกล่าวจึงยืนยันว่า นายกิจไม่ได้กระทำความผิด
“ท่านนายกฯกิจท่านยืนยันว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมาท่านดำเนินการด้วยความสุจริต และศาลท่านพิพากษาในประเด็นของการขัดระเบียบในการดำเนินการ การแถลงข่าวในวันนี้ก็เพื่อยืนยันว่า เป็นเรื่องของการผิดระเบียบ ไม่ได้เป็นการทุจริต และนายกิจก็ขอใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ที่วันนี้ที่ท่านไม่ได้มาร่วมแถลงด้วยเนื่องจากติดปัญหาสุขภาพ เพราะอายุมากแล้ว แต่ขวัญกำลังใจท่านนั้นยังดี”นายชัยพรกล่าว
นายชัยพร กล่าวว่า เรียนว่าจำเลยน้อมรับคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ ภาค 9 ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น แต่ในส่วนการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และศาลได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยมี เจตนาฝ่าฝืนพ.ร.บ.อบจ. เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานราชการ และเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 นั้น จำเลยยังคงยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทุจริต ไม่ได้มีเจตนาฝ่าฝืนระเบียบกฎหมาย นายกิจยืนยันในความ สุจริต ไม่ได้มีเจตนาทุจริตหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องแต่อย่างใด เพียงแต่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และไม่ได้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.อบจ. ที่ต้องนำเรื่องเข้าสภาอบจ.เพื่อให้สภาพิจารณา และไม่ได้เสนอผู้ว่าฯให้เห็นชอบ ไม่ได้จัดให้มีการประมูล เนื่องจากในขณะนั้นเลขานุการนายกฯ คือนายชาญยุทธ มีความเห็นว่า อบจ.ตรังสามารถทำบันทึกข้อตกลงให้บริการเครื่องจักรกลกับบริษัทชูไก ได้เลย โดยไม่จำต้องนำเรื่องนี้เข้าสภา และไม่ต้องเสนอผู้ว่าฯเห็นชอบ จึงไม่ต้องจัดให้มีการประมูล ซึ่งเป็นความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องระเบียบกฎหมายของนักกฎหมายเท่านั้น นายกกิจไม่ได้มีเจตนาทุจริตแต่อย่างใด ซึ่งนักกฎหมายแต่ละคนอาจมีความเห็นหรือตีความแตกต่างกันได้เป็นเรื่องปกติ
นายชัยกรกล่าวด้วยว่า สำหรับคดีที่ 2 ของนายกิจซึ่งรอการพิจารณาของศาลอาญาทุจริตฯอีกคดี คือคดีที่ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีจัดซื้อที่ดินก่อสร้างท่าเรือนาเกลือแพงเกินจริงนั้น ยืนยันในความพร้อมต่อสู้คดี เพราะในแง่ความเป็นจริง การจัดซื้อที่ดินมีความจำเป็น เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือมีพื้นที่จำกัด ไม่เพียงพอต่อการรองรับสินค้า จึงจำเป็นต้องมีการจัดซื้อเพิ่มเติม ส่วนประเด็นการตั้งข้อสังเกตุเรื่องซื้อราคาแพงนั้น ต้องเข้าใจว่าในสภาพความเป็นจริงที่ดินบริเวณดังกล่าว มีการพัฒนา มีความเจริญขึ้นเรื่อยๆเพราะเป็นเขตอุตสาหกรรมการเดินเรือ ซึ่งราคาซื้อขายจริงจะสูงกว่าราคาประเมินมาก และในโลกความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะขายที่ดินในราคาประเมินตามเกณฑ์หทั่วไปแน่นอน ซึ่งเหตุผลเหล่านี้จะใช้ประกอบการต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป