นักการเมืองภาคใต้หลายจังหวัดของประเทศไทยในยุคนี้มีสีเทามากขึ้น
ดูเหมือนชาวใต้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้ง แต่เดิมคนส่วนใหญ่เลือกพรรค รักศักดิ์ศรี เงินมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจไม่มากนัก
ยุคนี้คนส่วนใหญ่ วางศักดิ์ศรีลงที่พื้น ยื่นมือรับเงิน จากนักการเมืองสีเทา คนที่ยังยืนหยัดในอุดมการณ์ อับอายทั่วหน้า
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนใต้เปลี่ยนไป
1. บริบทดั้งเดิม : การเมืองภาคใต้กับศักดิ์ศรีและอุดมการณ์
ภาคใต้เคยถูกมองว่าเป็น “ภูมิภาคอุดมการณ์” โดยเฉพาะในช่วงหลัง พฤษภาคม 2535 ที่ประชาชนในหลายจังหวัดหันมาให้ความสำคัญกับ “พรรค” มากกว่า “คน” เช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่มีฐานเสียงเข้มแข็งในแทบทุกจังหวัด แม้ผู้สมัครจะเปลี่ยน แต่ชื่อพรรคยังคงได้รับความไว้วางใจ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลในยุคนั้น : วัฒนธรรมชุมชนที่ให้ความสำคัญกับเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความซื่อสัตย์ ระบบการเมืองที่ยังไม่ถูกครอบงำโดยทุนมากนัก การต้านอิทธิพลนอกระบบ เช่น ผู้มีอิทธิพล ทุนสีเทา หรือกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
2. ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เปลี่ยนบริบท
(1) ความเสื่อมศรัทธาในพรรคการเมืองหลัก : พรรคเก่าอย่างประชาธิปัตย์ถูกวิจารณ์ว่าขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถตอบโจทย์ปากท้องหรือผลักดันนโยบายระดับชาติได้จริง ความรู้สึกว่า “ไม่ว่าเลือกใครก็เหมือนเดิม” ทำให้คนเริ่มหันไปหา “ผลประโยชน์เฉพาะหน้า”
(2) อิทธิพลของเงินและระบบอุปถัมภ์ : การรุกคืบของกลุ่มทุนท้องถิ่นที่มีทรัพยากรมาก ใช้เงินซื้อเสียง เปิดพื้นที่ให้ “นักการเมืองสีเทา” เข้ามาแข่งขัน
เครือข่ายอุปถัมภ์ในระดับท้องถิ่น เช่น การให้เงินช่วยเหลือ การจ้างงาน หรือการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ผูกคนในชุมชนกับนักการเมือง
(3) ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม : เกษตรกรรมไม่มั่นคง วัยแรงงานจำนวนมากย้ายไปทำงานนอกพื้นที่ชุมชนเปลี่ยนจากสังคมเกษตรแบบแน่นแฟ้น เป็นสังคมผู้สูงวัยและแรงงานโยกย้ายความเหนื่อยล้าและไม่มั่นใจในอนาคต ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากเลือกทางที่ให้ผลตอบแทนทันที
3. การกลายพันธุ์ของ “ศักดิ์ศรี”
คำว่า “ศักดิ์ศรี” ที่เคยหมายถึงการเลือกพรรคด้วยความภาคภูมิใจ เปลี่ยนเป็น “การอยู่รอดของครอบครัว” หรือ “ไม่อยากเสียผลประโยชน์” ในระยะสั้น สังคมบางส่วนอาจรู้สึกว่า “ถ้าไม่รับเงินก็โง่” กลายเป็นอุดมการณ์ใหม่ที่แฝงในความสิ้นหวัง
4. ผลสะท้อนเชิงจิตวิญญาณของผู้ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์
ผู้ที่ยังยืนหยัดกับหลักการ กลับรู้สึกถูกทำให้ “ตกขอบ” ทั้งจากสังคมและกลไกการเมือง
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า อำนาจของทุนและระบบอุปถัมภ์ ได้เบียดขับความหมายของการเป็น “พลเมือง” ออกจากเวทีการเมือง
นัยการเปลี่ยนแปลง
1. การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมการเลือกตั้งนี้ อาจดูเหมือนเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ในสายตาบางคน
แต่ในความเป็นจริง มันสะท้อนถึงการล่มสลายของพื้นที่ทางการเมืองที่เอื้อต่อการเมืองคุณภาพ — พื้นที่ที่เคยเปิดโอกาสให้เสียงของอุดมการณ์ ความหวัง และศักดิ์ศรีของพลเมืองได้มีที่ยืน กำลังถูกเบียดขับด้วยอิทธิพลของทุน อำนาจ และระบบอุปถัมภ์
2. ความสิ้นหวัง ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และการครอบงำของทุน คือโครงสร้างที่บีบให้ผู้คน “วางศักดิ์ศรีลงที่พื้น” ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักศักดิ์ศรีอีกต่อไป แต่เพราะพวกเขาถูกทำให้เชื่อว่า ศักดิ์ศรีไม่เลี้ยงปากท้อง
การกลายพันธุ์ของ “ศักดิ์ศรี” และช่องว่างของอุดมการณ์ทางการเมือง สะท้อนภาวะที่ ประชาชนจำนวนมากไม่ใช่ไม่มีอุดมการณ์ แต่ขาดพื้นที่ ความรู้ และกลไกสนับสนุนในการยึดมั่นกับอุดมการณ์นั้น
การเมืองเชิงคุณภาพจึงไม่สามารถเกิดได้เพียงจากพรรคหรือผู้นำที่ดี แต่ต้องสร้าง โครงสร้างทางวัฒนธรรม และ โครงสร้างทางปัญญา ที่เอื้อต่อการฟื้นศรัทธาในประชาธิปไตย
ที่มา : Phichai Ratnatilaka Na Bhuket