กลับมา Explore กันต่อ กับเรื่องราวของ \”คอซอวอ\” ดินแดนที่ \”มีอยู่\” แต่เหมือนไม่มีอยู่จริง บนแผนที่โลก หลังจากที่ในตอนก่อนผมได้เล่าให้ฟังถึงภูมิหลังของที่นี่ คราวนี้เราจะออกเดินทางจริง ๆ กันแล้วนะครับ
แต่การเข้าถึงคอซอวอจริง ๆ นั้นมันไม่ได้ง่ายเหมือนการปักหมุดในแผนที่ หรือเปิดแอพพลิเคชั่นหาทางไปอย่างที่เราคุ้นเคย มีบางอย่างซ่อนอยู่ในชั้นลึกกว่าการเดินทาง นั่นคือเงื่อนไขทางการเมืองที่ซับซ้อน
แผนการเดินทางของผมในตอนแรกไม่มีคอซอวอ จากโซเฟียตั้งใจจะไปเบลเกรด ต่อซาราเยโว และอาจเลยไปถึงพอดโกริกา เมืองหลวงของมอนเตเนโกร เส้นทางถูกวางไว้อย่างราบรื่นแต่ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกจอง ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า… บางประเทศในแถบนี้ ยอมรับวีซ่าอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุ
การเปิดเว็บเช็กข้อมูลแต่ละประเทศจึงเกิดขึ้นชนิดชวนให้หัวใจเต้นแรงเหมือนนักล่าสมบัติที่กำลังแกะรอยอะไรบางอย่างและสุดท้ายผมก็พบว่า \”คอซอวอ\” คือหนึ่งในประเทศนั้น เหมือนจักรวาลกระซิบข้างหูว่า อย่าให้โอกาสนี้หลุดลอยไป แผนที่วางอย่างดีจึงถูกปัดตกในพริบตา ถูกแทนที่ด้วยแผนใหม่ที่หัวใจล้วน ๆ เป็นคนออกแบบ
ถามว่ากลัวไหม ?
ตอบตรง ๆ เลยครับ… กลัว
เพราะทันทีที่ได้ยินชื่อคอซอวอ ภาพจำแรกในหัวผมคือ สงคราม ภาพซากเมืองที่ถูกทำลาย และเสียงระเบิดที่ฝังอยู่ในความทรงจำของคนทั่วโลก แต่เสียงหนึ่งในใจผมก็แย้งขึ้นมาเบา ๆ ว่า
ขนาดปาเลสไตน์ เรายังไปมาได้
แล้วจะยอมให้คอซอวอหยุดเราเหรอ
สุดท้าย ผมเลือกที่จะเชื่อเสียงนั้น… เสียงของคนที่ไม่ยอมจำกัดโลกไว้แค่กรอบของความกลัว การเดินทางครั้งนี้จึงกลายเป็นการสำรวจทั้งดินแดนที่แทบไม่มีใครพูดถึง และการสำรวจจิตใจของตัวเองที่ซ่อนความกลัวไว้ในซอกหลืบลึกที่สุด การเดินทางสู่อะไรที่ไม่คุ้นเคย อาจดูน่ากลัวในตอนแรก แต่บางครั้ง \”ของขวัญที่ดีที่สุด\” ในชีวิต มันถูกซ่อนอยู่ที่ปลายทางของความกลัวเสมอและคอซอวอ กำลังรอผมอยู่ที่นั่น ด้วยเรื่องราวที่ทั้งแตกต่างจากภาพในหัว และลึกซึ้งกว่าที่ผมเคยจินตนาการ…
เส้นทางที่ไม่ได้ตรงอย่างที่คิด
การเดินทางจากบัลแกเรียไปคอซอวอ ฟังดูเหมือนจะง่าย ๆ แค่ขับรถข้ามพรมแดนไปเท่านั้น แต่ความจริงกลับซับซ้อนกว่าที่ผมคาดไว้มาก หากมองจากแผนที่จะพบว่า แม้บัลแกเรียจะอยู่ใกล้คอซอวอก็ตาม แต่กลับไม่มีพรมแดนที่เชื่อมต่อกันโดยตรง มีภาคใต้ของเซอร์เบียมากั้นขวางเอาไว้อยู่ และนั่นกลายเป็นกำแพงที่สูงกว่าที่ตาเห็น เพราะดั่งที่ได้เล่าไปแล้วว่า เซอร์เบียกับคอซอวอ ยังมีความขัดแย้งกันด้านการปกครองอย่างรุนแรง
แม้ว่าจากบัลแกเรียเราสามารถขับรถเข้าสู่เซอร์เบียได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ทันทีที่คิดจะต่อเส้นทางจากเซอร์เบียเข้าสู่คอซอวอ “หมดสิทธิ์” ทันที ข้อพิพาททางการเมืองที่ยังไม่สะสางนี้ ทำให้เส้นทางตรง ๆ นั้นแทบจะปิดตายเหมือนมีประตูเหล็กหนาทึบตั้งอยู่กลางถนน ทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้คือ การขับรถวนอ้อมลงทางใต้เข้าสู่สโกเปีย เมืองหลวงของนอร์ธ มาเซโดเนีย แล้วจากนั้นจึงวกขึ้นเหนือเข้าสู่พริสตินา เมืองหลวงของคอซอวอ
มันคล้ายกับประสบการณ์ในอดีตที่ผมเคยเจอระหว่างการเดินทางในเขตคอเคซัส อาร์เซอร์ไบจานกับอาร์เมเนีย ที่แม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่เพราะความขัดแย้ง ก็ทำให้ไม่สามารถข้ามพรมแดนโดยตรงได้ ต้องย้อนกลับไปที่จอร์เจียก่อนค่อยข้ามเข้าอีกประเทศ ผมจำได้แม่นถึงเหตุการณ์ที่ชายแดน ตอนที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเห็นตราประทับของประเทศฝั่งตรงข้าม ก็ถึงกับยื่นพาสปอร์ตคืนมาแทบปาใส่หน้าผม พร้อมสายตาที่แข็งกระด้างราวกับจะขว้างผมออกไปให้พ้นจากเขตแดนของเขา
กลับมาที่การเดินทางครั้งนี้ เส้นทางที่ต้องวิ่งจากโซเฟียสู่พริสตินาผ่านสโกเปีย ก็มีทางเลือกให้ตัดสินใจอยู่สองทาง จะหยุดพักที่สโกเปียสักคืน เพื่อพักกายพักใจก่อนเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น หรือจะกัดฟันขับยาวไปให้ถึงปลายทางรวดเดียว
เมื่อผมไตร่ตรองดูดี ๆ แล้ว แม้ว่าผมจะชอบอัธยาศัยไมตรีของผู้คนในสโกเปีย แต่ตัวเมืองเองก็ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ให้สำรวจเท่าไหร่เพราะเคยมาเยือนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้ใจผมไหววูบ คือความตั้งใจที่อยากจะแวะไปเคารพ \”แม่ชีเทเรซา\” ที่บ้านเกิดของท่านอีกสักครั้ง ความเรียบง่ายและความสมถะในบ้านของแม่ชีเทเรซาในวันนั้น เคยทำให้ใจผมสงบนิ่งและอ่อนโยนอย่างประหลาด และในทริปที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนครั้งนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้แวะรับพลังจากท่านอีกสักนิด ก่อนจะออกเดินทางต่อ
ดังนั้น ผมจึงเลือกขับรถยาวจากโซเฟียเข้าสโกเปีย แวะเยือนบ้านแม่ชีเทเรซาสักครู่ แล้วตีขึ้นพริสตินาในวันเดียว ไหน ๆ ก็เสี่ยงมาแล้วทั้งที ก็ขอให้เต็มที่ไปเลย แต่แผนของผมก็ยังมีหักมุมเล็กน้อย… ผมจะไม่หยุดนอนค้างที่พริสตินา เมืองหลวงอันวุ่นวายอย่างที่ใคร ๆ ทำกัน ผมเลือกจะขับต่อไปอีกชั่วโมง เพื่อไปพักที่เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า \”พริซเรน\” เมืองที่เขาว่ากันว่าทั้งสวยงาม คลาสสิก และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุโรปเก่า
ทั้งหมดนี้… คือแผนการเดินทางที่ไม่ได้ตรงอย่างที่คิด แต่กลับมีเสน่ห์ และเต็มไปด้วยบทเรียนที่ยากจะหาได้จากเส้นทางที่ราบเรียบ
เส้นทางที่ง่ายกว่า…
สำหรับนักเดินทางที่อยากสัมผัสคอซอวอ
แต่ถ้าใครฟังเรื่องราวที่ผมเล่าแล้วรู้สึกว่า เส้นทางอ้อม ๆ ที่ผมเลือกนั้นฟังดูอ้อมเกินไป อยากได้เส้นทางที่ง่ายและสบายใจกว่านี้ ผมมีอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ มาฝาก นั่นคือการเดินทางผ่าน แอลเบเนีย
แอลเบเนีย ถือเป็น “พี่น้องร่วมชาติพันธุ์” กับคอซอวอ โดยสายเลือด โดยวัฒนธรรม และด้วยหัวใจ ดังนั้น เส้นทางจากเมืองชายแดนของแอลเบเนียเข้าสู่พริสตินาจึงง่ายดายเหลือเชื่อ ขับรถชิล ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงผ่านถนนสายกว้างโล่งและเต็มไปด้วยอ้อมกอดของภูเขาเขียวขจีแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว การเดินทางเส้นนี้แทบไม่ต้องระแวงด่านชายแดน หรือปัญหาการเมืองอะไรให้วุ่นวายใจเลย
หากคุณเริ่มต้นที่ติรานา เมืองหลวงของแอลเบเนีย และมีเวลาสักหน่อย ผมอยากแนะนำให้ใช้โอกาสนี้เติมเต็มหัวใจตัวเองให้ชุ่มชื่นก่อน อย่าเพิ่งรีบตีรถตรงเข้าคอซอวอ ลองเปลี่ยนทิศขับรถลงใต้แล้วค่อยตัดเข้าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง นอร์ธ มาเซโดเนีย แทน และถ้าอยากให้การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การ “ไปถึง” แต่เป็นการ “อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง” ผมขอแนะนำให้คุณพักที่เมืองตากอากาศเล็ก ๆ ชื่อ ออฮิด
ออฮิด เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบใหญ่ บรรยากาศสงบเย็นจนเหมือนกาลเวลาหยุดไหล เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์ของความเรียบง่าย ผู้คนมีจำนวนน้อย ชีวิตที่นี่จึงดำเนินไปอย่างช้า ๆ ช้าเสียจนคุณจะเริ่มได้ยินเสียงภายในใจตัวเองอีกครั้ง จะนั่งริมทะเลสาบ ปล่อยสายตาให้ลอยไปตามคลื่นเบา ๆ ดูนกเหินฟ้าไปตามสายลม หรือจะเดินทอดน่องรอบทะเลสาบ สัมผัสอากาศบริสุทธิ์พร้อมกับเจริญสติอยู่กับก้าวย่างก็ได้ เป็นเวลาที่เหมาะเหลือเกินสำหรับการทบทวนชีวิตในอดีต และแงะเป้าหมายของตัวเองในอนาคต
เมื่อพักที่ออฮิดจนหัวใจ \”นิ่ง\” พอแล้ว ก็ค่อยขับรถต่อขึ้นไปสโกเปีย เมืองหลวงของนอร์ธ มาเซโดเนีย ที่นี่คุณจะได้สัมผัสอีกบรรยากาศที่แตกต่าง เมืองที่เต็มไปด้วยรูปปั้นมหึมานับร้อยกระจายตัวอยู่ตามถนนตรอกซอกซอยไปจนถึงยอดตึกสูง คล้ายกับหลุดเข้าไปในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดยักษ์ ที่ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และความทะเยอทะยานของผู้คนถูกหล่อรวมไว้ด้วยทองสำริด
หลังจากซึมซับมนตร์เสน่ห์ของสโกเปียเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนสู่พริสตินา… เมืองหลวงของคอซอวอ ที่เรารอคอยมานาน
ไม่ว่าเราจะเลือกเส้นทางผจญภัยแบบที่ผมเดินทางมา หรือเลือกทางง่ายแบบผ่านแอลเบเนีย สรุปก็คือ… ตอนนี้เราก็มาถึงคอซอวอแล้ว
ขอย้ำอีกครั้งสั้น ๆ เพื่อให้ความเข้าใจชัดเจนขึ้น คอซอวอประกาศเอกราชจากเซอร์เบียในปี 2008 แม้เวลาจะล่วงเลยมานานหลายปี แต่ถึงวันนี้ก็ยังมีหลายประเทศในโลกที่ \”เลือกจะไม่รับรอง\” ว่าคอซอวอเป็นรัฐเอกราช ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าคอซอวอมีอยู่จริง แต่เพราะพวกเขา \”เลือกที่จะไม่รับรู้\” เสียมากกว่า
และนั่นแหละครับ… ทำให้คอซอวอกลายเป็นประเทศที่ \”มีอยู่\” อย่างเงียบ ๆ เงียบพอที่จะไม่ติดป้ายบนแผนที่ของบางประเทศ แต่ดังพอที่จะสั่นสะเทือนหัวใจของใครก็ตามที่ได้เหยียบย่างเข้าไปเยือนด้วยตัวเอง
แล้วทำไมบางประเทศถึงยังไม่ยอมรับคอซอวอ ?
คำถามนี้… ฟังดูเรียบง่าย แต่คำตอบกลับซ่อนซับซ้อนลึกกว่าที่เห็น และมีหลายระดับให้ทำความเข้าใจ เพราะในโลกความจริง การยอมรับ หรือ ไม่ยอมรับ ไม่ได้วัดกันที่หลักการเพียว ๆ เสมอไป แต่บ่อยครั้งมันเป็นเกมของผลประโยชน์ที่ลึกเกินกว่าจะเห็นจากภายนอก
ถ้ามองในเชิงยุทธศาสตร์ เราจะเห็นว่าสาเหตุหลัก ๆ ที่บางประเทศไม่ยอมรับคอซอวอนั้น มีอย่างน้อย 3 ประเด็นสำคัญ
1. กลัวเกิดกรณีลอกแบบ หลายประเทศไม่ใช่แค่ตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมของคอซอวอเท่านั้น แต่สิ่งที่เขากลัวจริง ๆ คือ \”โดนตัวเอง\” นั่นเอง
�ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ จีน ที่กังวลเรื่องไต้หวัน ทิเบต และซินเจียง อินเดีย ที่ยังมีบาดแผลเรื้อรังจากกรณีแคชเมียร์ หรือแม้แต่สเปน ที่กลัวว่าคาตาลูญญาจะถือโอกาสขอแยกตัวตามแนวทางของคอซอวอ
�เพราะการยอมรับคอซอวอ อาจเป็นเสมือนการเปิดประตูเชิญปัญหาให้เข้ามาหาในบ้านตัวเองโดยไม่รู้ตัว
2. รักษาผลประโยชน์ทางการทูต ในโลกนี้ บางครั้งเราต้องเลือกว่าจะทำตามใจ หรือ รักษาพันธมิตร หลายประเทศต้องประคับประคองความสัมพันธ์กับเซอร์เบียและรัสเซียซึ่งเป็นคู่แค้นเก่าแก่ของคอซอวอ
�การตัดสินใจยอมรับคอซอวอ หมายถึงการเสี่ยงที่จะทำให้พันธมิตรสำคัญเหล่านี้ไม่พอใจ และในโลกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ น้ำมัน ก๊าซ พลังงาน และความมั่นคง ล้วนมีน้ำหนักกว่าคำว่าหลักการเสียอีก
3. ไม่สนับสนุนการแยกตัวฝ่ายเดียว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องรัฐธรรมนูญ พวกเขาไม่ใช่ไม่เห็นใจคอซอวอ แต่พวกเขายึดมั่นในหลักการว่า \”การแยกตัว\” จะต้องผ่านกระบวนการที่ชอบธรรม ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลแม่ ไม่ใช่การประกาศฝ่ายเดียวโดยไม่มีความยินยอม
�การละเมิดกระบวนการแบบนี้แม้จะมีเหตุผลที่เข้าใจได้เพียงใด ก็ยังถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ
สรุปง่าย ๆ ก็คือ… คอซอวอไม่ได้ถูกปฏิเสธเพราะไม่มีตัวตนแต่เพราะโลกนี้มีผลประโยชน์ที่ใหญ่มากพอจะทำให้ใครหลายคนเลือกที่จะไม่เห็น แม้ว่าจะเห็นอยู่เต็มตาก็ตามmและนี่เอง คือเสน่ห์อีกมุมหนึ่งของคอซอวอ ประเทศเล็ก ๆ ที่เงียบงันในสายตาโลก แต่กึกก้องอยู่ในหัวใจของผู้ที่ได้สัมผัสมันจริง
ประเทศไทยกับการรับรองคอซอวอ
แม้จะมีท่าทีระมัดระวังอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วประเทศไทยได้ให้การรับรองคอซอวอในฐานะรัฐเอกราช อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2013
การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเลือกที่จะก้าวข้ามความกังวลเชิงยุทธศาสตร์บางประการ และแสดงจุดยืนร่วมกับประชาคมโลกหลายประเทศที่สนับสนุนหลักการสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง (self-determination) ของประชาชนคอซอวอ
หลังการรับรองไม่นาน ทั้งสองประเทศได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับทางการ และเริ่มมีการหารือถึงความร่วมมือในด้านต่าง ๆ แม้ว่าความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์หรือการเมืองจะยังไม่ได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเหมือนประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ก็ตาม
Pristina เมืองหลวงที่ไม่ได้อวดความหรู
แต่อยากให้คุณเห็นความจริง
ในวันที่เหยียบเท้าลงบนผืนดินแห่งนี้สิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพของตึกระฟ้าไม่ใช่เมืองที่เปล่งประกายด้วยเศรษฐกิจเฟื่องฟู แต่มันคือเมืองที่ยังมีลมหายใจของอดีตไหลเวียนอยู่ในทุกถนนซอกซอย คือเมืองที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยมือเปล่าและหัวใจที่ยังเต็มไปด้วยบาดแผล Pristina ไม่ได้พยายามปกปิดร่องรอยเหล่านั้นตรงกันข้ามมันเปิดเผยออกมาอย่างซื่อตรงเผยให้เห็นความจริงที่ทั้งน่าเจ็บปวดและน่านับถือ
อาคารบางหลังยังมีร่องรอยของระเบิด กำแพงบางมุมยังมีรอยกระสุน และผู้คนที่เดินสวนกันไปมาแม้จะมีรอยยิ้มแต่มักมีเงาเศร้าแผ่วเบาอยู่ในดวงตา Pristina คือเมืองที่ไม่ได้เสแสร้งเพื่ออวดโลกแต่เลือกที่จะเป็นพยานให้กับประวัติศาสตร์ที่มันผ่านพ้นมา
รูปปั้นของ บิล คลินตัน ตั้งเด่นอยู่ริมถนนใหญ่ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจ แต่เพราะเขาคือชายคนหนึ่งที่เลือกจะไม่เพิกเฉยในวันที่โลกส่วนใหญ่ยังลังเล ในปี 1999 ในช่วงเวลาที่การล้างเผ่าพันธุ์กำลังคุกคามผู้คนในคอซอวอ บิลคลินตันผลักดันให้กองกำลังนาโต้ออกปฏิบัติการทางทหารเข้าแทรกแซง ในเวลาที่ไม่มีใครกล้าลงมือช่วยเหลือเขาผลักดันให้เกิดการโจมตีทางอากาศที่ไม่ใช่เพื่อพิชิตแผ่นดินแต่เพื่อปลดปล่อยผู้คนจากฝันร้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจากการเลือกไม่เพิกเฉยในวันนั้นก่อเกิดเส้นทางใหม่ให้กับคอซอวอให้กับ Pristina ที่แม้จะเริ่มต้นใหม่ด้วยเศษซากแต่ก็มีโอกาสได้ก่อร่างชีวิตด้วยมือของตัวเอง ความหรูหราไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ในเมืองนี้แต่สิ่งที่จับต้องได้คือความกล้าและศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมแพ้ต่ออดีตทุกก้าว
บน Bill Clinton Boulevard ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินผ่านเสียงร้องไห้ของอดีตและเสียงกระซิบของความหวังที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ มันทำให้เข้าใจว่า บางครั้งคุณค่าของเมืองหนึ่งไม่ได้อยู่ที่ความมั่งคั่งที่ปลายตา แต่มันอยู่ที่หัวใจของผู้คนที่ยังไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ยาก ยังไม่ยอมแพ้ต่อความโหดร้ายของโลก และยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เหมือนจะทำลายพวกเขาไปแล้ว
นี่แหละคือ Pristina เมืองที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่ออวดโลกแต่สร้างขึ้นเพื่อยืนยันว่าความหวังและศักดิ์ศรีจะไม่มีวันตาย
ในสายตาของชาวคอซอวอ บิล คลินตัน ไม่ใช่แค่อดีตผู้นำโลก แต่คือผู้ที่ทำให้พวกเขารอดจากการถูกทำลายล้างทั้งชีวิตทรัพย์สินและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ความเคารพที่พวกเขามีให้จึงไม่ใช่เพียงการตั้งรูปปั้นหรือตั้งชื่อถนนแต่คือการสื่อสารถึงความไม่ลืมบุญคุณของคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในวันที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก ไม่เพียงเท่านั้นข้างกับรูปปั้นยังมีร้านเสื้อผ้าชื่อว่า Hillary ตั้งชื่อตาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งภรรยาของเขาซึ่งแม้จะไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งครอบครัวและความต่อเนื่องของคุณูปการการที่ร้านค้าของประชาชนตั้งชื่อเช่นนี้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกในระดับลึกว่า พวกเขาไม่ได้มอง บิล คลินตัน เป็นเพียงนักการเมืองแต่คือผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติอย่างไม่มีวันลบเลือน
ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่าย ชาวคอซอวอไม่ได้เพียงแค่ระลึกถึงคลินตันในฐานะผู้นำต่างชาติ แต่เขากลายเป็นเสมือนฮีโร่ทางจิตวิญญาณที่ยังคงได้รับการยกย่องแม้กาลเวลาจะผ่านไปกว่าสองทศวรรษแล้วก็ตาม และทุกก้าวที่เดินผ่านรูปปั้นนั้นเหมือนเป็นการกล่าวคำขอบคุณที่ไร้เสียงแต่กึกก้องอยู่ในใจของผู้คนทั้งเมือง
ถัดมาไม่ไกล จะเห็นโบสถ์แม่ชีเทเรซาตั้งอยู่กลางถนนใหญ่ของกรุงพริสตินา โบสถ์ที่ดูเงียบสงบทว่างดงามและเปี่ยมไปด้วยความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทางศาสนาแต่ยังเป็นเหมือนศาลเจ้าแห่งแรงบันดาลใจสำหรับชาวคอซอวอและผู้คนอีกมากมายที่เติบโตมากับความเจ็บปวดของสงครามและความยากจน
แม่ชีเทเรซาหรือที่รู้จักกันในนาม Saint Teresa of Calcutta เป็นบุคคลที่มีเชื้อสายอัลบาเนียโดยกำเนิด แม้เธอจะเกิดที่เมืองสโกเปียซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศมาซิโดเนียเหนือ แต่ครอบครัวของเธอเป็นชาวอัลบาเนียโดยสายเลือดและวัฒนธรรมในวัยเยาว์เธอรู้สึกถึงการเรียกจากพระเจ้าให้รับใช้เพื่อนมนุษย์เธอจึงเดินทางไปยังอินเดียและใช้ชีวิตทั้งชีวิตในการดูแลผู้ยากไร้คนเจ็บคนใกล้ตายและผู้ถูกทอดทิ้งในเมืองกัลกัตตา
ความสำคัญของแม่ชีเทเรซาไม่ได้อยู่แค่ในบทบาทของแม่ชีหรือนักบุญที่ได้รับการแต่งตั้งจากสันตะสำนักวาติกันเท่านั้น แต่เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาความเสียสละและการทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน แม้จะไม่มีอำนาจ ไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้กลับสามารถเปลี่ยนโลกได้ด้วยเพียงหัวใจที่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยศรัทธา ในสายตาของชาวคอซอวอและชาวอัลบาเนีย เธอคือเกียรติภูมิของเชื้อชาติเป็นเสียงสะท้อนที่ชัดเจนว่า คนเล็ก ๆ จากดินแดนเล็ก ๆ ก็สามารถสร้างคุณค่าระดับโลกได้
โบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่เธอจึงไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อระลึกถึงศาสนิกแต่เป็นการเฉลิมฉลองคุณความดีที่ก้าวข้ามพรมแดนของชาติพันธุ์ศาสนาหรืออุดมการณ์ใด ๆ ดังนั้น คำว่าแรงบันดาลใจของผู้หญิงตัวเล็กที่เปลี่ยนโลกได้จึงไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูแต่มันคือความจริงที่ถูกพิสูจน์แล้วว่า แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดาหากมีหัวใจที่บริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยความรักต่อเพื่อนมนุษย์ก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนแห่งความดีงามให้ก้องไกลไปได้ถึงทั้งโลก
ใกล้กันนั้นคือ ห้องสมุดแห่งชาติหรือ National Library of Kosovo สถานที่ที่โดดเด่นทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและความหมายทางวัฒนธรรม ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนห้องสมุดใดในโลก โดมโลหะทรงรังผึ้งกว่าเก้าสิบลูกวางเรียงรายอยู่บนหลังคาคล้ายกับโครงสร้างจากภาพยนตร์ไซไฟในโลกอนาคตและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในหมู่นักออกแบบ บางคนมองว่านี่คือความงามเชิงนวัตกรรม ขณะที่บางคนก็บอกว่านี่คือความแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ แต่ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาแบบใดเมื่อก้าวเข้าไปภายในจะพบว่าความแปลกตาของภายนอกกำลังเปิดทางสู่ความลึกซึ้งที่รออยู่ข้างใน
ห้องสมุดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่เก็บหนังสือทั่วไป แต่ยังเป็นแหล่งสะสมต้นฉบับเอกสารโบราณคดีจดหมายเหตุและหนังสือหายากโดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกมุมมองจากฝั่งของชาวอัลบาเนียในคอซอวอ มุมมองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกลบถูกทำลายและถูกบิดเบือนในยุคที่ประเทศตกอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลยูโกสลาเวีย ในช่วงสงครามห้องสมุดแห่งนี้เกือบถูกทำลาย มีเอกสารจำนวนมากที่สูญหายหรือถูกเผา แต่ชาวคอซอวอจำนวนหนึ่งได้ร่วมแรงร่วมใจเก็บซ่อนเอกสารสำคัญไว้ในบ้านของตนเองด้วยความหวังว่า เมื่อสงครามยุติพวกเขาจะได้ชำระประวัติศาสตร์ของตนให้กลับคืนมา และเมื่อนาทีแห่งเสรีภาพมาถึงเอกสารเหล่านั้นก็ได้ถูกนำกลับมาบริจาคกลับสู่ห้องสมุดอีกครั้ง ทำให้ที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่เก็บหนังสือแต่กลายเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำและการฟื้นคืนอัตลักษณ์ของชาติที่แสดงให้เห็นว่าความรู้และความจริงไม่อาจถูกทำลายลงได้แม้ในยามที่ไฟสงครามโหมกระหน่ำที่สุด
ข้างกันกับห้องสมุดแห่งชาติยังมีร้านหนังสือเล็ก ๆ มากมายเรียงรายอยู่ในบริเวณนั้น ร้านหนังสือเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่เพียงเพื่อการค้าหรือการทำธุรกิจแต่คือเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปิดปากในวันที่สิทธิเสรีภาพถูกพรากไป วันนี้พวกเขากลับเลือกจะเปิดหนังสือ พวกเขาเลือกจะหยิบเอาหน้ากระดาษขึ้นมาเปิดหน้าประวัติศาสตร์ของตนเองอีกครั้ง มันเป็นสัญญะที่ทรงพลังของสังคมที่แม้เคยบอบช้ำจากสงคราม แม้เคยล้มลงจนแทบหมดแรง แต่กลับไม่ยอมจำนนต่อความมืดมนไม่ยอมยกธงขาวให้แก่ความไม่รู้
ร้านหนังสือที่อยู่ใกล้ห้องสมุดไม่ต่างจากผู้พิทักษ์เรื่องราวที่คอยต่อเติมความรู้ คอยขุดค้นเศษเสี้ยวของอดีต และเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ความจริงเพื่อเขียนอนาคตของตนเองด้วยมือของตนเอง
ในทุก ๆ ชั้นวางของร้านหนังสือเล็ก ๆ เหล่านี้ ในทุก ๆ เล่มที่ถูกเปิดอ่านมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฟื้นตัวกลิ่นอายของความหวังและกลิ่นอายของคำสัญญาที่ว่า แม้จะเคยถูกทำให้เงียบงันแต่พวกเขาจะไม่มีวันยอมให้เสียงของความรู้ดับลงอีก และนั่นแหละคือสิ่งที่อาจสวยงามยิ่งกว่าการสร้างตึกสูงหรือถนนกว้างใหญ่เพราะการสร้างคนที่มีปัญญาย่อมเป็นการสร้างชาติที่ยั่งยืนกว่าทุกสิ่ง
ต่อไปคือการเดินทางจากเมืองหลวงสู่เมืองพักตากอากาศ พริซเรน (prizren) ติดตามได้วันเสาร์หน้าครับผม
ที่มา : ดร.วีรณัฐ โรจนประภา