ผมได้มีโอกาสเดินทางไป อเมริกา (หลังจากที่ไม่ได้ไปมานาน 8 ปี) รอบนี้ไป 2 งานติดกันคือ งาน Google Cloud Next 2025 และทริปเยี่ยมชม Silicon Valley โดยใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์เลยทีเดียว อยากสรุปว่าได้อะไรจากการไปมาทั้งสองงานนี้บ้าง?
#GoogleCloudNext2025
– Google ดัน Gemini AI เต็มที่ โดยประสาน AI เข้ากับทุกบริการของ Google โดยเฉพาะในฝั่งของภาคองค์กร ผ่านบริการ Google Workspace เครื่องมือสำหรับคนทำธุรกิจทั่วโลก (Google Slide, Sheet, Docs) โดยเปิดบริการใหม่ ที่มี AI เข้าไป \”ฝั่งอยู่ในบริการต่าง\” อย่างน่าสนใจ ซึ่งจะทำให้ AI เปลี่ยนวิธีการทำงานของคนไป ทำงานได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น (ถือว่า Google ได้เปรียบกว่าผู้ให้บริการ AI ทุกเจ้า เพราะตัวเอง มีระบบนิเวศ และ Data ที่ได้เปรียบกว่าทุกคนบนโลกนี้) เรียกว่ามาช้าหน่อย แต่มาแบบจัดเต็ม
– การให้บริการลูกค้า จะเข้าสู่ยุค Hyper Personalization หรือ \”การปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลขั้นสูง\” โดยการนำ AI มาช่วยทำให้บริการต่างๆ เหมาะสมกับแต่ละคนอย่างแยบยล
– การทำงานทุกอย่างจะ \”ประสานราบรื่นแบบไร้รอยต่อ หรือ Seamless Experience\” เพราะ AI จะเข้ามาช่วยเชื่อมทุกอย่างให้สอดคล้องมากขึ้น โดยเฉพาะ Google ที่มีบริการในระบบนิเวศมากมาย เช่น Google Cloud, Ads, YouTube, Workspace, และอีกเพียบ AI อย่าง \”Gemini จะกลายเป็นระบบกลางที่จะทำให้ทุกบริการของ Google เก่งขึ้น\”
– Gemini เปิดบริการ
– Agent Space ที่จะทำให้เราสามารถดึงความสามารถของ AI มาใข้กับข้อมูลต่างๆ ขององค์กรเราได้ ตัวอย่างเช่น เราอยากให้ AI มาอ่านข้อมูลภายในองค์กรเราแล้วสามารถตอบคำถามลูกค้า หรือ มาช่วยการทำงานภายในในระดับ Workflow เพื่อทำงานได้เร็วขึ้น
– Customer Engeagment Suite การใช้ AI ของ Google เพือสร้างประสบการณ์กับลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น เช่น สามารถสร้าง Call Center ที่เป็น AI ที่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าด้วยเสียงได้หลายภาษา (มีภาษาไทยด้วย)
– ผ่าน Vertex AI Search โดยตอนนี้มีหลายธุรกิจในอเมริกาเริ่มนำไปใช้แล้วอย่าง Reddit (เว็บเหมือน Pantip) ใช้ AI ช่วยสรุปสิ่งที่คนถามมาทันที หรือ Mercado ใช้ AI มาช่วยค้นหาข้อมูลสินค้าได้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากขึ้น
– Conversational Agent ที่สามารถกำหนดเสียง พูดคุยกับลูกค้าได้อย่างเนียนกริบ จนแยกไม่ออกว่า คนหรือ AI เหมาะมากกับ Call Center ซึ่งพอเห็น แล้วยืนยันได้เลยว่า อนาคตธุรกิจ Call Center จะเป็น AI แทบจะ 100% ไม่ต้องใช้คนมาคอยรับสายตอบแล้ว
– Creative Agent สามารถใช้ AI ช่วยสร้างเนื้อหา (Content) ที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกมาได้
– งาน Google Cloud NeXT 2025 จัดที่ Las Vegas ปีนี้มีคนมาร่วมงานมากกว่า 30,000 คน เยอะมากกก ทั้ง session เกือบพัน session และ exhibition ที่มีบริษัทต่างๆ มาโชว์เทคโนโลยีด้าน AI ที่ใช้ Google Gemini
บริษัทไหนที่ใช้ Google Workspace แนะนำให้เริ่มปรับตัวใช้ Gemini ที่เริ่มให้บริการแล้ว แล้วคุณจะพบว่า มันจะช่วยทำให้คุณและทีมงานคุณทำงานได้เร็วขึ้นอีกมากๆ อันนี้ Highly Recommend
ขอบคุณทีม Google Cloud ประเทศไทยที่ชวนไปงานนี้ครับ
#SiliconValleyในยุคAI
– เป็นทริปบุก Silicon Valley ของทาง Rise ของหมอคิด Supachai Parchariyanon ที่พาไปเยี่ยมแทบจะทั้งระบบนิเวศของ Startup ในซิลิคอนวัลเลย์ ทั้ง Startup ที่มีความหลากหลายมากๆ , VC นักลงทุน, มหาวิทยลัย หรือ ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ Accelerator ซึ่งทั้งหมดทำงานร่วมกันได้อย่างดีมากๆ จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไม Silicon Valley ถึงสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับโลกใบนี้ได้
– ความหลากหลายของ Startup ในการสร้างนวัตกรรม มีความหลากหลายและพลวัตรสูงมากๆ เช่น Technology ซึ่งตอนนี้ AI มาแรงจริงๆ, BIO Tech, Robotics หุ่นยนต์ และอีกเพียบ
– คุณภาพของ Startup มีสูงมาก Business Model หรือ เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมา มีความเฉพาะตัว (Unique) และแตกต่าง (Differentiate) ซึ่งทำให้มีโอกาสเติบโตได้สูงมาก และแทบทุกรายมองถึงการแก้ปํญหาของคนอเมริกัน 3 ร้อยล้าน คน หรือ ทั้งโลก ซึ่งต่างกับไทยมาก เพราะความหลากหลายยังไม่มาก และมุมมองในการทำธุรกิจที่ยังโฟกัสกับแค่คนไทย 60 กว่าล้านคน (เราต้องผลักดันให้เด็กไทย มีโอกาสเห็น และเข้าใจธุรกิจใหม่ๆ มากว่านี้ และผลักดันให้ธุรกิจออกไปสู่ตลาดภูมิภาค หรือ ระดับโลก)
– มหาวิทยาลัยต่างผลักดัน ให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มีการสร้างนักวิจัยมากมาย ที่วิจัยสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถสร้าง Impact ให้กับประเทศหรือโลกนี้จริงๆ และเชื่อมต่อกับนักลงทุนให้มาลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่เหล่านี้ (เมื่อมองมหาวิทยาลัยไทย ยังไม่สามารถสร้างความหลากหลายของนวัตกรรมที่เกิดขึ้น เพราะอาจารย์หรือ คนที่สอนก็ยังไม่ได้มีมุมมองระดับภูมิภาคหรือระดับโลก ทำให้เด็กๆ ที่่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่สร้าง impact ได้จริงๆ และนักวิจัยเราก็พัฒนานวัตกรรมที่สามารถ commercialize ได้น้อย) ผมว่าอันนี้คือปัญหาหลัก..
อยากเห็นมหาวิทยลัยของไทย สร้างนักวิจัย นักศึกษาที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้จริงๆ ตอนนี้แทบไม่เห็น นวัตกรรมอะไรใหม่ๆ จากมหาวิทยาลัยเลย เหมือนเรียนไปให้จบๆ กันไปมากกว่า….
– \”คนทำ Startup เป็นคนรู้จริง\” บางคนอายุ 40-60 เป็นผู้บริหารบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ แล้วออกมาทำ และสร้าง Startup ร่วมกับคนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งตรงนี้แหละ มันทำให้ Startup ที่สร้างขึ้นมา สามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ เพราะคนเหล่านั้นอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ มานาน รู้ปัญหา รู้ทั้ง Supply Chain ของอุตสาหกรรมนั้นๆ เลยมีความได้เปรียบกว่า Startup ของไทยที่ทำโดยกับแค่เด็กๆ เท่าน้ัน แทบจะไม่ค่อยมีรุ่นใหญ่ ลงมาทำ Startup เลย…
– มีที่ปรึกษา (Mentor & Advisor) ที่รูัจริงมาช่วยเต็มไปหมด.. ทั้งอาจารย์ในมหาลัย นักธุรกิจเก่งๆ เมื่อ Startup ได้คนเก่ง รู้จริง ในอุตสาหกรรมที่ตัวเองกำลังทำอยู่ มันจึงทำให้ นวัตกรรม ที่สร้างขึ้นมา สามารถตอบโจทย์ และแก้ปัญหาได้จริงๆ ( Startup ไทยเราแทบจะไม่ค่อยมีคนเก่งๆ มาช่วยตรงนี้เท่าไร ส่วนใหญ่ คิดเองทำเอง ลุยไปดุยๆ ไร้คนเก่ง มีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ มาช่วย)
– นักลงทุน กองทุน มีอยู่เต็มไปหมดที่ Silicon Valley เมื่อมหาลัย สามารถผลักดัน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้หลายหลาย และเต็มไปหมด นักลงทุนก็พร้อมจะสนับสนุน ผลักดัน ลงทุนกับธุรกิจใหม่ๆ เหล่านี้ได้ (เมืองไทย เรายังมีนักลงทุนน้อยไปจริงๆ มีแต่ CVC หรือ Corporate Venture Capital)
– ถ้าสรุปง่ายๆ สั้นๆ ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Startup ที่ Silicon Valle ประสบความสำเร็จก็คือ ระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างธุรกิจ และนวัตกรรมใหม่ๆ
– มหาลัยไม่ได้ทำแค่สร้างนักศึกษาเท่านั้น แต่เน้นการวิจัยสร้างนวัตกรรมในการแก้ปัญหาของแต่ละอุตสาหกรรม มีนักวิจัยเฉพาะด้านมากมาย นักวิจัยเหล่านี้แหละ เมื่อเค้าได้วิจัยอะไรใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ ก็เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถนำไปใช้และแก้ปัญหาได้จริง
– เมื่อเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ก็เกิดการผลักดันให้ไปเป็นธุรกิจใหม่ๆ ผ่านโครงการต่างๆ ที่กระตุ้นให้นวัตกรรมเหล่านั้นกลายไปเป็นธุรกิจ เช่น Accelerator ศูนย์บ่มเพาะ มีนักลงทุนเข้าเห็น เข้าไปดู เข้าไปลงทุนในนวัตกรรมต่างๆ เหล่านี้
– บริษัทใหญ่ๆ นักลงทุน Venture Capital ก็อยากทำให้ธุรกิจตัวเองเติบโต ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเริ่มเข้ามาหา นวัตกรรมใหม่ๆ จากมหาวิทยลัย นักวิจัย หรือ นักศึกษาที่กำลังทำเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ จึงให้ทุน เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเกิดใหม่เหล่านั้นเติบโตได้เร็วมากขึ้น
#โอกาสสำหรับตัวเองในทริปนี้
– เนื่องจากได้มีโอกาสไปเจอบริษัท Startup หลายๆ แห่ง จึงอยากสร้างโอกาสให้ตัวเอง โดยการเริ่มลงทุนกับบริษัทที่นี่ เพื่อสร้างความเข้าใจ และสร้างโอกาสให้กับตัวเองในการได้ติดตาม เรียนรู้จากบริษัท Startup ที่ Silicon Valley ว่าเค้าทำงานกันอย่างไร? เติบโตยังไง ระดมเงินยังไง? ซึ่งจะเป็นการทำงานในระดับ Global Scale ไม่ไข้ระดับ Local Scale แบบที่ผมทำอยู่
– อยากสร้าง และผลักดันธุรกิจ Startup ไทย ให้สามารถ ระดมเงิน และเข้าถึงกับ Knowledge และ Community ในระดับโลกได้ ไม่ใช่แค่อยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น .. เริ่มมีแนวทางเล็กๆ ที่กำลังจะเริ่มต้นทำล่ะ (คิดแล้วต้องทำ ททท. ทำทันที)
– ผลักดันการนำ AI มาใช้กับธุรกิจตัวเอง และนำไปสร้างโอกาสทางธุรกิจ หรือธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งการมารอบนี้ได้เห็นโอกาส และเข้าใจการนำ AI มาใช้กับธุรกิจได้เยอะเลยทีเดียว
ขอบคุณหมอคิด และทีมงาน Rise ที่ช่วยพามาเบิกเนตร ตัวเองให้เห็นมุมมองการทำงานระดับโลก เพราะเมื่อเรามี มุมมอง (Vision) ใหม่ๆ ในระดับโลก การคิด (Thinking) และการทำงาน (Execution) ของเราก็จะเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน สิ่งทีสำคัญต่อไปจากนี้คือการ วางแผน สร้างกรอบ (Framwork) และลงมือทำ (Execution) ครับ
อยากเชียร์ให้ผู้บริหาร ผู้นำองค์กร ออกไปเปิดหู เปิดตา ดูอะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ไม่ใช่ไปดูงาน และแอบไปเที่ยว ไปช๊อปปิ้ง.. แล้วสุดท้าย คุณก็ไม่ได้อะไรกลับมาเปลี่ยนแปลงองค์กรตัวเอง หรือ ประเทศของเรา.. (เหมือนข้าราชการระดับสูง นักการเมือง สส. สว. ในแต่ละกรรมธิการ ที่มีงบไปดูงาน แต่จริงๆ แล้วไปเที่ยวกันมากกว่า)
”ถ้าเราไม่มี Input ใหม่ๆ เข้าไปในกบาล ก็อย่าหวังว่าจะมี Output ใหม่ๆ ออกมา.!“
อยากให้ไปดูแล้ว ได้มุมมองใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ กลับมาแล้ววางแผน ปรับปรุง เปลี่ยนแปง การทำงานของธุรกิจเรา ขององค์กรเราจริงๆ ครับ
ที่มา : Pawoot Pom Pongvitayapanu