ซอฟท์พาวเวอร์ รัฐบาลจีน และจีนเทา
รัฐบาลจีนใช้เวลามากกว่า 2 ทศวรรษ บอกกับประเทศต่างๆ ว่าตนจะเป็น a responsible power คือ เป็นมหาอำนาจที่ดี มีความรับผิดชอบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่เล็กกว่า จีนไม่ใช่ภัยคุกคาม จะสร้างอนาคตที่ดีด้วยกัน (a community of shared future) รบ.จีนได้ทุ่มเงินกับการสร้างความไว้เนื้อใจผ่านโครงการซอฟท์พาวเวอร์สารพัด ทั้งความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแบบให้เปล่า เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ตั้งสถาบันขงจื้อ ให้ทุนการศึกษา โครงการดูงาน-กินเที่ยวมากมายแก่ข้าราชการพลเรือนแทบทุกกระทรวง ทหาร ตำรวจ ตั้งแต่ระดับกลางถึงสูง รวมทั้งสื่อมวลชน ฯลฯ ซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร
แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พวกจีนเทากำลังทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของความเป็นจีน ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะรู้ดีว่าจีนเทาไม่ใช่รัฐบาลจีน แต่จีนเทาทำให้ความเป็นจีนแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งชั่วร้าย บวกกับหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจในหลายประเทศประสบปัญหาจากการไหลทะลักของสินค้าจีนราคาถูกไร้คุณภาพ ยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ความเป็นจีนให้เลวร้ายลง
รัฐบาลจีนติดตามเรื่องเหล่านี้อย่างใกล้ชิด หลายคนน่าจะจำได้ว่ายุคที่คนจีนเดินทางออกมาท่องเที่ยวกันใหม่ๆ พวกเขาทำให้คนจีนถูกดูถูก ว่าเป็นพวกมีเงินแต่ไม่มีวัฒนธรรม เช่น ขี้เยี่ยวริมถนน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำลายโบราณสถาน หยาบคายกับผู้ให้บริการในประเทศอื่น ฯลฯ จนรัฐบาลต้องจัดคอร์สอบรมมารยาทการไปเที่ยวต่างประเทศให้คนของตนเอง บางคนถึงกับถูกแบล็คลิสต์ ทำให้ขอวีซ่ายากขึ้น (มรึงอย่าออกจากบ้านเลย ทำให้ประเทศขายขี้หน้าเปล่าๆ)
กรณีจีนเทาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในเมียนมา กลายเป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลกมา 2 ปีแล้ว สร้างชื่อเหม็นให้กับความเป็นจีนอย่างยิ่ง แล้วรัฐบาลเมียนมา ไทย กัมพูชา ก็ไม่มีปัญญาจัดการกับปัญหานี้ เพราะเป็นประเทศที่ทุจริตกันทั้งระบบแบบพังพินาศ ฉะนั้น จีนจึงต้องส่งนายหลิวจงอี้ มาจัดการเองโดยตรง
ในด้านหนึ่ง สื่อมวลชนและคนไทยทั่วไปรู้สึกชื่นชมประสิทธิภาพของจีน นายหลิวจงอี้กลายเป็นฮีโร่มาช่วยแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้ช่วยสร้างคะแนนให้กับภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีนอย่างฉับพลัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง การปฏิบัติของนายหลิวจงอี้ ทั้งในไทยและเมียนมา บวกกับความปวกเปียกของรัฐบาลไทย ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกหน้าชา ว่าไทยถูกปฏิบัติราวรัฐบริวารของตั่วเฮีย นี่คือความรู้สึกเชิงลบ แต่คนกลุ่มนี้ก็เป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น
กรณีการจัดการกับจีนเทา แก็งคอลล์เซ็นเตอร์ในเมียนมา ยังทำให้เราตั้งคำถามกับหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน (non-interference) ของจีนได้ด้วย จีนตอกย้ำหลักการนี้ตลอด ไม่ว่าประเทศไทยหรือเมียนมา จะมีรัฐประหารกี่ครั้ง ใครจะเป็นเผด็จการ จีนไม่เคยวิจารณ์ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องที่จีนให้ความสำคัญ แต่ถ้าเราเห็นว่ากรณีการจัดการกับแก็งค์จีนเทา รัฐบาลจีนได้ใช้อิทธิพลแทรกแซงการแก้ปัญหาในไทยและเมียนมาโดยตรง เราสามารถพูดได้ว่าจีนก็จะเก็บหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นไว้ในลิ้นชัก เพื่อจัดการกับสิ่งที่กระทบกับผลประโยชน์จีนโดยตรงเท่านั้น …ความสัมพันธ์ในลักษณ์ตั่วเฮียกับตี๋น้อย จะกลายเป็นแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเมียนมา ไทย ลาว และกัมพูชาต่อไป
ที่มา : Puangthong Pawakapan