ปฏิบัติการการฑูตสาธารณะ​ เบื้องหลังการช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ : กัณวีร์​ สืบแสง

การช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ทำได้ครับ (มันเหมือนเรื่องยาวที่สามารถทำเป็นหนังได้ครับ) หลังจากภารกิจมนุษยธรรมไร้พรมแดนเสร็จตามประสงค์ จึงอยากแชร์ให้ทราบว่ามันมีหลายปัจจัยในการที่ DKBA ส่งกลับผู้ได้รับผลกระทบจากการค้ามนุษย์ 260+1 ชีวิต (คนยูกันดาท้อง 1 คน) ให้ไทยเพื่อคัดกรองเหยื่อการค้ามนุษย์ตามกระบวนการ NRM ต่อไป

ภารกิจนี้ผมไม่ได้ทำคนเดียวแน่นอน และมันมีสถานการณ์ต่างๆ เข้ามาปะปนในเวลาเดียวกันจนทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง จึงอยากเล่าเบื้องหลังมากกว่าเบื้องหน้าที่หลายคนที่ได้กระโดดออกสื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต้องเริ่มจากสถานการณ์ธุรกิจสีดำในเมียนมา มันหนักหน่วงหลังโควิด 19 ที่ผันตัวจากเอาธุรกิจคาสิโนทั้งในตึกและออนไลน์ มาเป็นคอลเซนเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีเหยื่ออยู่ทุกภูมิภาคทั่วโลก

และที่สำคัญการทำให้ธุรกิจนี้มันเจริญเติบโตได้ มันต้องไม่ถูกปราบปรามโดย “รัฐ” นั่นเอง เลยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้พื้นที่ฝั่งเมียนมาติดชายแดนตะวันตกของไทยเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะสงครามกลางเมืองที่ทำให้มีพื้นที่มากกว่า 80% ของชายแดน 2,416 กม. ทหารพม่าเข้าไม่ถึง และตกอยู่ในการครอบครองของกลุ่มต่างๆ ที่ได้แบ่งแยกกันตามพื้นที่

ธุรกิจพวกนี้จะโตไม่ได้เลยหากไม่มี “กำลังคน” หรือ “สแกมเมอร์” จากประเทศต่างๆ ที่พูดภาษาที่หลากหลายมาหลอกลวงเหยื่อในแต่ละประเทศ เลยเป็นที่มาของขบวนการนำพาและจบด้วยการค้ามนุษย์นั่นเอง

ต้องยอมรับครับว่าหลายคนมาเอง ต้องการเงิน และยังทำอยู่, หลายคนมาเอง ต้องการเงิน แต่ทำไม่ได้ เลยโดนทำร้าย สุดท้ายถูกทรมานกลายเป็นเหยื่อค้ามนุษย์, หลายคนถูกหลอกลวงมา งานไม่ตรงปก สถานที่ไม่ใช่ตามที่ตกลงไว้ ปฏิเสธการทำงาน แต่โดนทำร้าย สุดท้ายกลายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และหลายคนถูกหลอกมาทำงาน ปฏิเสธ ต่อสู้ ถูกขายต่อ สุดท้ายเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ดีๆ นี่เอง

สารตั้งต้นคือโอกาสการได้เงินจากการทำงานนั่นเอง ไม่ว่าเค้าจะเป็นกลุ่มไหน ทุกคนที่ได้กลับมาเมื่อวานควรเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ออกจากกลุ่มที่ไม่ใช่เหยื่อ !!!

ประเทศไทยถูกใช้เป็นทางผ่านเนื่องจากเข้าง่าย ตามนโยบายวีซ่าฟรีหรือ Free Visa ให้กับคนมากกว่า 90 ประเทศ เข้าไทยได้เลยหากมีหนังสือเดินทางถูกต้องสามารถอยู่ได้ 60 วัน และขอขยายต่ออีก 30 วันได้อีก แถมเข้ามาแล้วไปไหนในไทยก็ได้และจะไม่ถูกถามหรือตรวจสอบจาก สตม. เพราะนโยบายวีซ่าฟรีที่ไม่มีมาตรการรองรับนี่เอง

ชายแดนที่ยาวมากกว่าสองพันกิโล ไม่สามารถปิดกั้นการข้ามแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวต่างชาติมากกว่า 30 ประเทศถูกลักลอบนำพาเข้าไปเมียนมาและทำงานในเครืองข่ายแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เพื่อเป็นสแกมเมอร์ขับเคลื่อนการหลอกเงินคนทั่วโลกด้วยวิธการต่างๆ ออนไลน์และโทรศัพท์

มันยิ่งหยิ่งผยองผองขนมากขึ้นไม่กลัวกฎหมายและศีลธรรมใดๆ หลังจากไม่มีอำนาจรัฐและการรักษากฎหมายใดๆ ในพื้นที่ การใช้ความรุนแรงและการทรมานยิ่งกว่าสัตว์ถูกใช้แล้วใช้เล่าต่อมนุษย์ เพราะความต้องการเงินที่หลอกลวงมาจากทั่วโลก

ผมทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม คนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ขอแค่เอ่ยนามชื่อเล่นว่าคุณเจ ตั้งแต่เคสเล้าก์ก่าย รัฐฉานตอนเหนือที่ช่วยคนไทยหลายร้อยคนกลับมาจากเงื้อมมือคนบาปค้ามนุษย์ ต้องช่วยกันประสานขอความช่วยเหลือทุกรูปแบบทุกทาง ทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังในการช่วยเหลือมันหริบหรี่แต่เราก็ทำ และก็สำเร็จมาแล้ว

ส่วนกลุ่มนี้ที่ผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ควบคุมของ DKBA นั้นเราทำงานกันมาหลายเดือนแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็มากกว่าครึ่งปี ในการติดต่อแบบเรียลไทม์ หารายชื่อที่ถูกต้อง รูป เลขหนังสือเดินทาง รวมทั้งพิกัดของพวกเค้าที่ถูกทรมานในที่ต่างๆ

วันแล้ววันเล่ามากว่าเกือบปี ทุกวันจะเห็นรูป คลิปวีดิโอ เรื่องราวของความทุกข์ทรมาน การอยากฆ่าตัวตาย ความพยายามในการหลบหนี การย้ายแหล่งที่ทำงานเพราะ “บอส” เป็นคนสั่ง เชื่อผมครับมันไม่ได้จรรโลงหัวใจและจิตใจหรอกครับ แต่ทุกคนที่ทำงานด้านนี้เค้ายังทำต่อแบบเงียบๆ ที่ต้องรับหน้างานที่หนักหน่วงแต่ไม่เคยแชร์ให้ใครรู้ !!!

สำหรับเหยื่อที่อยู่ในพื้นที่ DKBA เรามีรายชื่อมากกว่า 600 รายชื่อ และทราบว่ามีคนอยู่ในพื้นที่นี้มากกว่า 7,000 คน รวมทั้งพิกัดต่างๆ ผมต้องใช้เนทเวิร์คที่มีต้องดูว่าเรารู้จักใครบ้าง ถามเพื่อนที่ผมเรียกว่าน้องชายจาก KNU ว่าประสานใครดี จนทราบว่าคนที่ผมสนิทด้วยจากการทำงานที่พม่านั่นเองเป็นคนที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จได้

น้อง LT คือคนที่พาไปเจอน้อง LP ต้องบอกว่าน้อง 2 คนนี้คือหัวใจสำคัญที่พาไปเจอผู้นำระดับสูงมากของ DKBA ที่ตัดสินใจได้ในการช่วยเหลือกลุ่มเหยื่อต่างๆ ตัวละครแรกคือ ท่านรอง ผบ.ทหาร พล.ต.ซอ ส่วย วะ ผู้เพิ่งขึ้นมารับตำแหน่งระดับสูง เมื่อปลายปีที่แล้ว

การเจรจาพูดคุยใช้เวลาอยู่หลายเดือน ท่านให้ความสนใจทำงานด้านมนุษยธรรมตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน แต่เนื่องจากเพิ่งรับตำแหน่งและมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาลและหลายคน จึงยังต้องใช้เวลาที่เหมาะสม แต่ท่านจะผลักดันให้สำเร็จจนได้

ผมเดินทางลงพื้นที่เป็นเวลาแรมเดือน ว่างลงแม่สอดเป็นตลอดระยะเวลา 2-3 เดือน จนคนถามว่ามาทำอะไร !! เพื่อคุย เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้ DKBA ให้ช่วยจริงๆ เพราะผมมองเพียงแค่งานมนุษยธรรม ไม่เคยคิดอย่างอื่น ต้องการช่วยชีวิตคน แต่มันก็ไปขัดกับผลประโยชน์มหาศาล

ขณะที่ภาคการเมืองมองเรื่องการช่วงชิงทางการเมืองเป็นตัวชี้วัดสำหรับการดำเนินการ (ในมุมมองผมนะ) การตัดไฟฟ้า ตัดน้ำมัน ตัดอินเตอร์เนท เพื่อให้มีผลกระทบต่อแก๊งค์ธุรกิจสีดำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้ขบวนการสะดุดครั้งใหญ่ ยื้อเวลาให้เจ้าของหนีจากพื้นที่ที่ถูกเพ่งเล็งให้ไปที่อื่น รวมทั้งทำให้ย้ายฐานการปฏิบัติการไปที่อื่นๆ และกักตุนทรัพยากรและอุปกรณ์สัญญาณ เพื่อให้ทำงานได้ต่อไป

ปลาตัวใหญ่กระทบแต่เบาบาง ทำให้แหล่งทำงานมันแตก และผนวกกับทาง DKBA ใช้จังหวะนี้เพื่อช่วงชิงความชอบธรรมและแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าจะปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่ควบคุมดูแลให้ได้ ผมก็ใช้จังหวะเดียวกันเพื่อสานต่อขอการสนับสนุนให้ DKBA ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ออกมาในขณะที่ “แพแตก” เจ้าของธุรกิจหนีไป

วันจันทร์ที่ 10 ก.พ. เวลาเย็น น้อง LT และ LP โทรเข้ามาวีดิโอลิงค์ต่อสายพูดแบบเห็นหน้ากับ พล.ต.ซอ ส่วย วะ และทราบว่าในขณะนั้น DKBA ได้ช่วยเหยื่อที่ถูกซ้อมทรมานออกมาได้และอยู่ในที่ปลอดภัย จำนวน 46 คน จาก 7 ประเทศ และมีความพยายามผลักดันจากไทยให้ส่งกลับทันที แต่ทาง DKBA รู้สึกว่าถูกเร่งรัดเหมือครั้งก่อนๆ และรู้สึกว่าไม่เคยมีใครให้เครดิตที่ช่วยเหยื่อเหล่านี้เลย เขาช่วยมาประมาณ 200 กว่าชีวิตแล้ว แต่ก็ถูกมองข้าม !!

ท่านนายพลบอกผมว่าอยากได้รับการยืนยันที่มากขึ้นว่าพวกเขาก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องงานมนุษยธรรมนี้ แต่คำยืนยันที่มากขึ้นคือการที่ สส.ต้องเดินทางไปหาเขาที่พบพระและเข้าไปคุยก่อน เขาจึงจะให้พบกับเหยื่อที่จริงๆ แล้วมีมากกว่า 100 คน และหากเค้ามั่นใจเค้าจึงจะพิจารณาส่งมอบคนเหล่านี้ให้กับทางการไทย และผมต้องยืนยันว่า DKBA ต้องได้รับการตระหนักถึงความพยายามในด้านที่ดีนี้ด้วยโดยต้องช่วยส่งข่าวออกไปให้โลกรับรู้

ทันทีครับ ขับรถไปกับน้องผมจาก กทม.ตอนสองทุ่มค้างตากคืนนึงแล้วตรงไปพบพระเช้าตรู่ เพื่อพบกับผู้นำ DKBA ทั้งท่าน รอง ผบ. และ ผบ.กองพลที่ 1 พร้อมสำนักข่าวหนึ่ง พูดคุยจนตกผลึกแล้วได้รับคำยืนยันว่าส่งแน่ เลยได้รับอนุญาตให้ไปพบเหยื่อ 50 ชีวิต จาก 7 ประเทศ พร้อมได้รับข้อมูลว่ายังมีอีก 120 กว่าชีวิตอยู่อีกที่หนึ่งและพร้อมจะส่งไปพร้อมๆ กันในวันพรุ่งนี้ !!!

ดีใจสิครับ กลับเข้าเมืองแม่สอด โทรแจ้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถึงความเป็นไปได้ แล้วรอคำยืนยันพร้อมกับเอกสารการลงทะเบียนจาก DKBA รอจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนจึงได้รับคำยืนยันว่าบ่ายสามวันพุธที่ 12 ก.พ.จะมีการส่งมอบ ตอนเช้าจึงได้รับคำยืนยันถึงตัวเลขจำนวนสุดท้าย 261 คน ที่ท่า 28 ที่บ้านช่องแคบ อ.พบพระ และฉก.ราชมนู รับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บ่ายโมงกว่าๆ รถที่ใช้ขนคนพร้อมรถลาดตระเวนของ ฉก.ราชมนู พร้อมที่ท่า 28 บ้านช่องแคบ ห้ามนักข่าวเข้าไปในพื้นที่ให้ทำข่าวแต่บนเนินเพราะเหตุผลความปลอดภัยของทุกฝ่าย ผมจึงขออนุญาตเข้าไปสังเกตการณ์คนเดียว เพราะอย่างน้อยเราก็ทำมาอ่ะนะ ขอเถอะ ท่าน ผบ.ฉก.ราชมนู พ.อ.ณัฐกร เรือนติ๊บ ก็เข้าใจและอนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์ได้

3 โมง ที่นัดกันมันคือเวลา 3.30 ฝั่งไทย เพราะเวลาต่างกันครึ่งชั่วโมง ถึงเวลาแล้วก็ยังไม่มา สิ่งที่สังเกตุได้คือ ครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ทหารของทั้งสองประเทศ ยืนเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผยและเต็มอัตราศึก ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็ตาม เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มที่ทั้งสองฝ่ายยืนเผชิญหน้ากัน สำหรับผมมันไม่แปลก แต่หากคนอื่นๆ มองคงรู้สึกถึงความตึงเครียดที่อาจจะเกิดขึ้นได้

16.30 น. รถกระบะนำทีมโดย รอง ผบ.DABA นำทีมมาพร้อมรถตามต่างๆ พร้อมกับเหยื่อทั้งหมดมาพร้อมส่ง และ รอง ผบ.รวมทั้ง ผบ.พล.1 นำทีมขึ้นแพพร้อมด้วยเหยื่อทั้งหมดและทหาร DKBA ที่ขึ้นมาคุ้มกัน พอถึงฝั่งไทยทาง ผบ.ฉก.ราชมนู ก็ต้อนรับทีม รอง ผบ.DKBA เป็นอย่างดียิ้มแย้มแจ่มใสพูดคุยกัน ส่วนผมก็มายืนดูคนที่เดินขึ้นมา คนที่จำได้ก็เข้ามาทักทายยิ้มแย้มและขอบคุณคนไทยและประเทศไทยที่ช่วยพวกเค้า บางคนยิ้มพร้อมน้ำตา คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ขอบคุณคนไทยอย่างใจจริง หลังจากนั้นก็ตามข่าวครับ ขึ้นรถทหารแล้วนำไปส่งที่ที่ว่าการอำเภอพบพระเพื่อทำการคัดแยกลงทะเบียนรอบแรกเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการ NRM ต่อไป

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยอีกอันที่อยากแชร์ให้ทราบ คือ ที่ DKBA มาช้าประมาณ 1 ชั่วโมงนี้เพราะ BGF อยากจะมาด้วย และหากมาด้วยจริงๆ ตามที่ผมได้ยินมา การส่งกลับอาจเกิดปัญหาสะดุดได้ อันนี้ต้องอบคุณท่าน รอง ผบ.DKBA นะครับที่ตัดสินใจไม่ให้ BGF มาเข้าร่วมด้วย มิเช่นนั้นการปฏิบัติการณ์ด้านมนุษยธรรมเมื่อวานนี้อาจไม่สัมฤทธิ์ผลได้

ขอจบการเล่าเรื่องเบื้องหลังไว้เพียงเท่านี้นะครับ อาจยาวหน่อยแต่อยากแชร์การทำงานมนุษยธรรมไร้พรมแดนและการทำงานการทูตสาธารณะ (Public Diplomacy) ที่เราทุกคนสามารถทำงานการทูตได้เพื่อประโยชน์ของชาติเรา ประเทศไทยได้รับคำชมเชยมากมายจากงานเมื่อวานนี้ที่คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้คน 260+1 ชีวิต ครับ

ที่มา : กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang