ขอบคุณสำนักข่าว The Reporters
SPECIAL : \’หลิว จงอี้\’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีน กับบทบาทมือปราบคอลเซ็นเตอร์ ดึงเมียนมาเข้าร่วมก่อนบินตรงมาแม่สอด สุดท้ายใครจะเป็นพระเอกในเกมนี้ และไทยจะอยู่ในบทบาทไหน หลังออกยาแรงกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยการตัดไฟฟ้า-น้ำมัน-เน็ต
การปรากฏตัวของ \’หลิว จงอี้\’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 20 วัน ย่อมเป็นท่าทีที่ไม่ธรรมดา
นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 ต้องยอมรับว่าสร้างแรงกระเพื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงท่าทีของรัฐบาลไทยต่อการปราบปรามอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์
การเดินทางมาถึงท่าอากาศยานแม่สอดในของ หลิว จิงอี้ ในเช้าวันที่ 16 ก.พ. 68 มีเพียง พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รักษาการผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก ร่วมต้อนรับเนื่องจากเป็นการเลื่อนลงพื้นที่มาเร็วขึ้นหลังจากเดิมแจ้งว่าจะมาในวันที่ 17-18 ก.พ.นี้ และเป็นการแจ้งมาด่วน จนข้าราชการผู้ใหญ่ในพื้นที่แม่สอดมารู้กันตอนเช้า
การมาของหลิว จงอี้ ไม่ต่างอะไร จบกันมาในครั้งแรกที่มีเพียงข้าราชการในพื้นที่คอยประกบพาไปตามจุดต่าง ๆ และมีตำรวจจากกองการต่างประเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาคณะเท่านั้นไม่มีกระทรวงการต่างประเทศหรือคนของรัฐบาลมาร่วมแต่อย่างใด
นายหลิว จงอี้ เดินทางไปที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 โดย พ.ต.อ.เพลิน นำดูสถานที่ ซึ่งเป็นจุดที่จะรับตัวชาวต่างชาติจากเมืองเมียวดี ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นจุดรับชาวจีนจากเมืองสแกมเมอร์ต่าง ๆ ที่กองกำลัง BGF และ DKBA กำลังรวบรวมได้ว่า 1,000 คน ไม่นับชาติอื่น ในจำนวนนั้่นมีทั้งบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 3,900 คนที่จีนต้องการตัวและอาจจะเป็นเหยื่อค้ามนุษย์รวมอยู่บ้าง
โดยขั้นตอนทางการเมียนมาจะส่งผ่านสะพานมิตรภาพไทยเมียนมาแห่งที่ 2 จากเมืองเมียวดีมายัง อ.แม่สอด จ.ตาก เหมือนที่เมียนมาเคยส่งคนจีนกว่า 900 คน เมื่อ 28 ก.พ. – 2 มี.ค. 68 โดยนำเครื่องบินเหมาลำจากจีนมารับถึงท่าอากาศยานแม่สอน ซึ่งครั้งนี้ก็มีการเตรียมการเช่นเดียวกัน โดยมีข่าวว่าจะมีเครื่องบินจีนมาลงที่แม่สอด เป็นเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 4 มี.ค. นี้ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น
แต่เกมครั้งนี้ดูจะแตกต่างจากครั้งก่อน บทบาทของ หลิว จงอี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นมือปราบคอลเซ็นเตอร์ กลับฉายเด่นขึ้นมาอีกครั้งและตอกย้ำว่า ไทยคิดอย่างไรกับการมาของผู้ช่วยรัฐมนตรีคนนี้ เพราะชวนให้ตั้งคำถามว่า รัฐบาลไทยรู้หรือไม่ ที่รัฐมนตรีจีนผู้นี้มาลงพื้นที่ชี้นิ้วไปโน่นไปนี่ ข้ามไปมาระหว่างแม่สอดและเมียวดีได้ตามใจชอบ โดยไม่มีคนของกระทรวงการต่างประเทศ หรือหน่วยความมั่นคงมาประกบแต่อย่างใด
ชวนให้ตั้งคำถามทั้งในแง่การทูตและการเมือง เคยมีที่ไหนที่ขบวนรถของรัฐมนตรีต่างชาติจะขับข้ามสะพาน 1 และ สะพาน 2 จากแม่สอด ไปยังเมียวดี เข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนสองประเทศเป็นบ้านตัวเอง
สำหรับเมียนมาอาจจะไม่แปลกเพราะ หลิว จงอี้ ได้เดินทางไปกรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมา มีภาพหารือร่วมกับ พล.ท. ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นาย ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามคำสั่งของ พล.อ.มินอ่องลาย ผู้นำทหารเมียนมา ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของการประชุมคณะกรรมการส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา หรือ TBC ที่รัฐบาลเมียนมาส่งทหารมาประชุมกับฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 15 ก.พ. และเป็นวันเดียวกันกับที่รัฐบาลเมียนมาส่งเจ้าหน้าที่เข้าคุมเมืองชเวก๊กโก่ ตั้งโต๊ะบัญชาการในการรวบรวมชาวต่างชาติด้วยตัวเอง รวมถึงกดดันไปทาง BGF และ DKBA ให้ส่งชาวต่างชาติทั้งหมดผ่านรัฐบาลเมียนมา เพื่อส่งให้ไทยแบบรัฐต่อรัฐเท่านั้น
แต่ดูจากท่าทีของรัฐบาลไทย ที่ปล่อยให้รัฐมนตรีจีนผู้นี้ทำอะไรตามใจชอบ ก็ยิ่งชวนสงสัยว่าอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูแลความมั่นคงจะไม่รู้ได้ยังไง ถ้าไม่รู้นี่ถือว่ารัฐบาลไทยอ่อนปวกเปียกมาก แต่ถ้ารู้ ก็ตั้งคำถามว่า ทำไมปล่อยให้เขาใช้อำนาจข้ามประเทศแบบนี้
คำตอบหนึ่งที่พอจะตรวจสอบมาได้ แว่วว่า จากจำนวนคนต่างชาติที่มีจำนวนมาก รัฐบาลไทยอยากให้รัฐบาลจีนจัดการกับทางรัฐบาลเมียนมา จะส่งคนกลับจากเมียนมาได้หรือไม่ จะได้ลดภาระของไทย และจะได้ปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวว่าคนจีนที่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ เข้ามาทางประเทศไทย รวมถึงแรงกดดันที่ไปถึงรัฐบาลเมียนมา ให้ชาวต่างชาติอื่นเดินทางกลับผ่านเมียนมาซะ จะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับไทย
คือถ้ารัฐบาลไทยคิดแบบนี้ก็น่าเสียดายอย่างมาก โอกาสที่ไทยจะแสดงผลงานในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรงระดับโลกนี้จะหายวับไปกับตา ทั้งในแง่อาชญกรรมที่จะสร้างคะแนนนิยมให้คนไทยที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงได้เห็นฝีมือของรัฐบาลไทย และในแง่มนุษยธรรมที่จะได้เห็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ครั้งใหญ่ของประเทศไทย
และถ้าเป็นเช่นนั้นมาตรการกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตัดไฟฟ้าตัดน้ำมัน ตัดเน็ต ของรัฐบาลไทยที่เริ่มตั้งแต่ 5 ก.พ. 68 เป็นเวลา 12 วัน แล้วนั้น ไร้ความหมาย !!
เพราะตัวชี้วัดสำคัญของการตัดวงจรคนในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้ถูกจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งอย่างที่รู้กันดีว่า ขบวนการอาชญกรรมพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่นี่ ถ้าไม่จัดการอย่างเด็ดขาด มันจะย้ายฐานไปเรื่อย ๆ และไม่มีวันจะหยุดยิ้งได้ ไม่นานปัญหาพวกนี้จะกลับมาแน่นอน
รายงาน : ฐปณีย์ เอียดศรีไชย
ที่มา : The Reporters