ตรัง-ไอซ์เอฟเฟ็กต์! สถาปนิกฉะแหลก “จัตุรัสเมืองตรัง” เสร็จไม่ตรงปก ทำลายจุดเด่นเมือง ลวดลายถนนส่อผิดกม.จราจร เครือข่ายสปช. ท้วงไม่ฟังเสียงปชช. แก้แบบเละตุ้มเป๊ะ เตือนกรมโยธาฯอย่าโยนเผือกร้อนให้ “นครตรัง” ตั้งงบตามแก้ แนะ อย่ารับมอบจนกว่าจะแก้ไขให้ปลอดภัย
จากกรณีคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่จังหวัดตรังติดตามความคืบหน้าโครงการต่างๆของจังหวัดตรัง ซึ่งเกิดปัญหาทิ้งงาน ใช้งานไม่ได้จริง และไม่ตรงปก โดยพบว่ามีกว่า 23 โครงการ คิดเป็นมูลค่างบประมาณกว่า 2 พันบล้านบาท โดยนางสาวรักชนก ศรีนอก กมธ.ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตกรณีโครงการก่อสร้างจัตุรัสเมืองตรัง วงเงิน 43 ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ว่าออกมาไม่ตรงปก ล่าช้า และเกิดปัญหาการสร้างลวดลายบนพื้นถนนที่ก่อให้เกิดความสับสนเสี่ยงอันตรายต่ออุบัตอเหตุจราจร จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์โครงการดังกล่าวในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม นายภัคพงษ์ วิธานติรวัฒน์ สถาปนิกท้องถิ่น และเครือข่ายชมรมเสียงประชาชน(สปช.) (เสื้อเหลือง) กล่าวกรณีดังกล่าวว่า ในแง่มุมของการออกแบบ มี 3 คำ คือ สัญลักษณ์ แนวคิด และ การสื่อสาร ที่ต้องคำนึงถึง 3 คำนี้ ในการออกแบบจัตุรัสเมืองตรังในครั้งแรกมีการคำนึงถึง หอนาฬิกาตรังซึ่งเป็นจุดเด่น บริบท และการสื่อสารที่เกี่ยวข้อง แต่การก่อสร้างที่เสร็จออกมาแล้วนี้ ไม่สามารถตอบหลักคิดในเรื่องเหล่านี้ได้เลย ผิดหลักการของการออกแบบ ถ้าย้อนกลับไปจะเห็นชัดเจนว่า แบบเดิมที่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ ออกแบบได้ดีมาก เพราะมีการคำนึงถึงแนวคิดโดยเฉพาะเส้นจราจรเป็นหลัก ในแบบเดิมนั้นถนนจะปูแอสฟัลติกหรือยางมะตอย ซึ่งเป็นโทนสีดำ ทำให้เส้นจราจรและลวดลายที่ออกแบบมีความโดดเด่น และตัดกับสีของหอนาฬิกาตรัง ช่วยขับให้หอนาฬิกาตรังซึ่งเดิมเป็นสีขาวมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น เป็นการออกแบบที่ตั้งต้นจากความโดดเด่นของหอนาฬิกาเดิม แบบลวดลายใต้ฐานหอนาฬิกาเดิมมีลักษณะเป็นวงกลมที่ตอบโจทย์ด้านวิศวกรรมการจราจร มีเส้นเลนจราจรค่อนข้างชัดเจน แม้จะมีลวดลายแต่ลักษณะของลายมีการแบ่งช่องทางจราจรค่อนข้างชัดเจน และแบบเดิมใช้กระเบื้องเซรามิก Kensai ในการปูสร้างลวดลายบนถนน แต่ภาพโครงการปัจจุบันที่แล้วเสร็จนั้น สิ่งเหล่านี้มันหายไปทั้งหมด หอนาฬิกาตรังแทบจะสังเกตุไม่เห็นแล้ว ไม่โดดเด่นอีกต่อไปเพราะถูกความรกรุงรังบดบังไปหมด การให้สีใหม่หอนาฬิกาทำให้ไม่เกิดความโดดเด่นอีกต่อไป ลวดลายบนพื้นถนนก็ใช้การทาสีแทน เพราะมีการแก้ไขแบบและเปลี่ยนแปลงการก่อสร้างตลอดเวลา ลวดลายบนพื้นถนนที่ทำจริงลายตาไปหมด ไม่วางเรียงเป็นเส้นวิถีการจราจร แล้วการทาสีถนนแบบทำกันเองมันไม่มีที่ไหนทำกัน เพราะการทาสีกำหนดลวดลายการจราจรบนถนน ต้องมีกฎหมายของรับ ลายถนนที่ออกมาน่าจะผิดกฎหมายจราจรด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ากล้าและบังอาจทำออกมาได้อย่างไร
นายภัคพงษ์ กล่าวอีกว่า งานผิวและเส้นจราจรทั้งหมดที่ออกมาไม่ได้ยึดกลักวิศวกรรมการจราจรเลย เลยสร้างปัญหาไปหมด ทั้งรถติด อุบัติเหตุ ต่างจากแบบเดิมที่มีการคำนึงเรื่องวิศวกรรมการจราจรค่อนข้างสูง แน่นอนว่าการแก้ไขแบบก่อสร้างสมารถทำได้บ้าง เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคในการก่อสร้าง แต่ไม่ใช่มาแก้แนวความคิดที่หลุดออกไปแบบนี้ ตนเชื่อว่าแบบก่อสร้างเดิมกว่าจะผ่านมาได้ ได้ผ่านการกลั่นกรอง มีผู้ทรงคุณวุฒิ คนร่วมออกแบบที่ตกผลึก ครบถ้วนไปด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวดีแล้ว แต่เมื่อมาแก้ไขกันจนไร้บริบท มันเลยไม่มีมุมคุณค่าของการเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกันในแง่งานสถาปัตยกรรม
“ผมรับไม่ได้กับงานที่ออกมา แก้แบบจนหลุดไปหมดแบบนี้ ผมเสียใจมากที่มีการทำลายแนวความคิดของการออกแบบครั้งแรก ได้ฟังข้อชี้แจงและเหตุผลในการแก้ไขแบบเพราะเจอปัญหาทางวิศวกรรมต่างๆในการก่อสร้างหน้างาน ก็ไม่ใช่ประเด็น แก้ไขได้แต่แนวความคิดหลักต้องอยู่และไม่เสียหาย มันทำลายคุณค่าไปหมด ไม่นั้นอาคารสวยๆในกทม.อย่างตึกมหานครก็สร้างไม่ได้ เพราะติดเงื่อนไขงานก่อสร้างไปหมด จากงานออกแบบระดับโลกที่ผมเห็น ตอนนี้กลายเป็นงานระดับเด็กอนุบาล ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย คิดจะทาก็ทา คิดจะทำก็ทำ บอกตรงๆว่านอนไม่หลับ เจ็บใจ เพราะความเป็นคุณค่าของพื้นที่สาธารณะมันหายไปหมด งานนี้ไม่ว่าเทศบาลหรือคนตรัง เราไม่ควรรับงานอะไรแบบนี้เลย ให้เป็นบทเรียนว่าต่อไปคนตรังจะไม่ยอมรับอะไรง่ายๆแล้ว ทุกวันนี้ประชาชนอยู่ระหว่างผลประโยชน์ของคน นักการเมือง ข้าราชการ เราถูกปกครองง่ายไปหน่อยไหม”นายภัคพงษ์กล่าว
นายภัคพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้โครงการเสร็จแล้ว ส่งมอบงานให้กรมโยธาฯในฐานะเจ้าของโครงการแล้ว และกำลังจะส่งมอบพื้นที่การใช้ประโยชน์ให้กับเทศบาลนครตรัง มันคือการโยนเผือกร้อนไปให้กับเทศบาล แล้วเทศบาลจะแก้ไขอย่างไรให้กลับไปสู่หลักวิศวกรรมการจราจร เพราะลวดลายที่สร้างนั้นได้กระทบต่อการจราจร จะแก้ด้วยการติดสัญญาณไฟจราจร จะใช้งบเท่าไหร่ ก็มาจากภาษีประชาชนทั้งนั้น เรื่องนี้เป็นเผือกร้อนให้กับเทศบาลฯแน่นอนถ้ารับมอบงานนี้ ถ้าเป็นตนๆจะไม่รับ วันนี้คนตรังต้องมายอมรับการใช้งานกันแบบนี้ แล้วคนนอกอย่างนางสาวรักชนกก็ออกมาวิจารณ์โครงการ ทำให้ตนอาย ขบขัน และเจ็บใจ อยากให้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันสะท้อนและช่วยกันแนะนำหาทางออก เพราะการจะมาแก้ไขในอนาคตก็ต้องใช้งบมหาศาล โดยเฉพาะเรื่องวิศวกรรมจราจร เทศบาลจะรับมาทำไม ควรส่งกลับไปให้กรมโยธาฯแก้ไขก่อนจึงจะรับมา เพราะการก่อสร้างลวดลายถนนแบบนี้ จะสร้างปัญหาตามมาอีกเยอะ เลนจราจรไม่มี ลวดลายก็นำมาวางตะแคงตัดขวางการจราจร ที่ไหนในโลกเขาไม่ทำกัน การไม่รอบคอบแบบนี้ สุดท้ายก็สร้างปัญหาไว้ให้กับจังหวัดตรัง สิ่งที่ออกมาตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว และการแก้ไขให้กลับมาใช่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เราคงต้องยอมรับโชคชะตา พยายามมองให้มันสวย ทั้งที่มันไม่มีคุณค่าในทางพื้นที่สาธารณะแล้ว และในแง่การแก้ไข คงทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะสีที่ทาออกไปคงไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็จะเลอะรุงรังปกปรกอยู่อย่างนั้น
ด้านนายจิระศักดิ์ ควนจันทร์ แกนนำเครือข่ายชมรมเสียงประชาชน(สปช.) (เสื้อเขียวสวมหมวก) กล่าวว่า สปช.ได้ติดตามโครงการ “จัตุรัสเมืองตรัง” มาตั้งแต่แรก ซึ่งตอนนี้ป้ายชื่อที่ถูกติดตั้ง ณ โครงการได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น “จัตุรัสนครตรัง” ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ แต่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังคณะกมธ.ลงพื้นที่ดูความคืบหน้าโครงการ โครงการจัตุรัสเมืองตรังได้ถูกตรวจสอบและตั้งคำถามมากมาย โดยผู้แทนกรมโยธาฯได้ชี้แจงต่อกมธ.ว่าโครงการเสร็จแล้ว ส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว ทำให้เรามีความกังวลมาก เพราะภาคประชาชนไม่คิดว่า จากการทักท้วงตลอดมาในหลายๆครั้งของประชาชนชาวตรัง ทุกเสียงสะท้อนกลับไม่ได้รับการแก้ไข มีการแก้แบบหลายครั้งจนผิดไปจากฉบับประชาพิจารณ์ แก้กันจนออกมาและตุ้มเป๊ะ แม้กมธ.อย่างนางสาวรักชนก ยังออกมาระบุว่าเป็นวงเวียนพิศวง ทำให้รถติดมโหฬาร เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง และสร้างความเสียหายให้กับคนตรังมาก ทั้งนี้ โครงการในจ.ตรังส่วนใหญ่ที่มีปัญหาคือโครงการที่รับจัดสรรงบจากส่วนกลาง ที่มักจะไม่ตรงปก ประชาพิจารณ์แบบหนึ่งแต่ทำออกมาอีกแบบ การที่ยืนว่าออกมาตรงตามTORฉบับแก้ไข คือการเลี่ยงบาลีไม่รับผิดชอบหรือไม่
นายจิระศักดิ์ กล่าวอีกว่า โครงการจัตุรัสเมืองตรังเป็นโครงการที่ก่อสร้างยาวนานมาก ตามสัญญาเดิมก่อสร้างถึง 700 วันก็ยังไม่เสร็จ มีการขยายสัญญาต่ออีก 121 วันก็ยังไม่เสร็จ มาแล้วเสร็จเอากลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าที่แล้วเสร็จนั้นก็ไม่เป็นที่พอใจของชาวตรัง เพราะทำให้คุณค่าของเมืองด้อยลงไป และส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชน ดูจากวันเปิดเทอมวันแรกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา รถติดมโหฬารทั้งสองสี่แยกที่เป็นวงเวียน เดือดร้อนมาก เพราะมีการยกไฟจราจรออก ทำให้ประชาชนขับขี่สับสน ทำให้เกิดอัตรายในการขับขี่จนเกิดอุบัติเหตุ
“จากนี้จะกลายเป็นเผือกร้อนของเทศบาล เพราะกรมโยธาฯบอกชัดเจนว่าตรวจรับงานเรียบร้อยแล้ว และจะส่งมอบพื้นที่โครงการให้กับเทศบาล เรื่องนี้นายกเทศมนตรีคนใหม่ที่รอการรับรองจากกต. ต้องคิดให้มากว่าการรับเผือกร้อนนี้มา แล้วต้องมาแก้ไขโดยใช้ภาษีประชาชน ทั้งการติดตั้งไฟจราจร ประชาชนเจ้าของภาษีคงไม่ยอมหากนำภาษีไปใช้ในทางไม่เกิดประโยชน์ ที่สำคัญประชาชนเสียเวลารอก่อสร้างมากกว่า 900 วันแล้ว ยังต้องรอการแก้ไขให้สมบูรณ์แบบในเรื่องวิศวกรรมการจราจร การลดอุบัติเหตุ และการใช้พื้นที่ทำกิจกรรมสาธารณะให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ ซึ่งพอออกมาแบบนี้ก็ไม้รู้ว่าเป็นแลนด์อะไรกันแน่”นายจิระศักดิ์กล่าว