สระแก้ว – จ.สระแก้ว เร่งเข้าแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยและพื้นที่การเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดหนุ่ม ลงพื้่นที่ช่วยดับไฟในพื้นที่การเกษตรใกล้ศาลากลางจังหวัดจนรองเท้าเปิด
เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดไฟไหม้ในพื้นที่การเกษตร จ.สระแก้ว พิกัดใกล้กับศาลากลางและจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ตั้งแต่ช่วงสายวันนี้ โดยไฟลุกไหม้ในพื้นที่ 3-4 จุดกระจายกันไป ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเข้มงาดและห้ามเผาทุกกรณี ซึ่งหลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดได้ออกคำสั่งด่วนถึงนายอำเภอทุกเภอในช่วงเช้าวันนี้ ระบุว่า \”การประชุมติดตามสถานการณ์การแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และปัญหา pm2.5 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ซึ่งมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วเป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติ ให้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้เผาทุกแปลงทุกราย เริ่มในแปลงที่เผาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นต้นไป โดยเมื่อลงไปตรวจสอบแปลงที่เผาแล้ว หากเป็นกรณีที่เจ้าของแปลงเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากถูกคนอื่นลักลอบเผา ให้เจ้าของแปลงเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ แต่หากเป็นการกระทำผิดของเจ้าของแปลงหรือมีพยานหลักฐาน เชื่อว่าเจ้าของแปลงหรือผู้เช่าเป็นผู้กระทำผิด ให้นายอำเภอในฐานะผู้อำนวยการอำเภอ ตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์/กล่าวโทษ กับสถานีตำรวจในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการปฏิบัติให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทราบทุกเคส/ทุกราย/ทุกแปลงทางกลุ่มไลน์นี้ จึงเรียนมาเพื่อถือฏิบัติโดยเคร่งครัด\” และต่อมาได้เกิดไฟไหม้ใกล้กับศาลากลางจังหวัดหลายจุด พื้นที่ ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว โดยมีเพจสระแก้วบ้านเรา นำภาพและคลิปจุดเกิดเหตุ มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองสระแก้ว ,กอ.รมน.สระแก้ว, กองร้อย อส. รถดับเพลิงของ อบต.ห้วยโจด อบต.ท่าเกษม เจ้าหน้าศูนย์ดำรงธรรม จว.สระแก้ว และทีมป้องกันจังหวัด นำโดย นายบุรินทร์ ล่วงเขต ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดสระแก้ว ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อส.ร้อย 1 และ ร้อย 2 เข้าไปช่วยกันดับไฟในจุดต่าง ๆ ซึ่งระหว่างการดับไฟดังกล่าว นายบุรินทร์ ล่วงเขต ผู้ช่วยป้องกันฯ ได้ลุยเข้าไปดับไฟตามจุดต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามไปยังจุดอื่นจนหัวรองเท้าเปิด พร้อมระบุว่า ผมประเมินสถานการณ์ กับป้องกันฯ เทศบาลท่าเกษม ต้องใช้กำลังพลเดินตบไฟ จุดที่เชื้อเพลิงน้อย จุดที่รถน้ำเข้าไม่ถึง ซึ่งทีมงาน บอกว่า ลุย ไม่มีอะไร ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ลุยดับไม่ถึง 1 ชม. ไฟสงบ ลดกลุ่มควัน\” ส่วนน้องผู้หญิง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ก็ลุยด้วย จริงๆ ทุกคนก็ทำเต็มที่ ช่วยกันเถอะ ลดเผา เพลียกันทั้งวัน ขอใช้เฟสตัวเองเป็นตัวกลางนำเสนอข่าวทางบวก เป็นกำลังใจให้ทีมงานหน่อยครับ\” นายบุรินทร์ ระบุ


อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสระแก้ว ได้รายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสระแก้ว ได้รับแจ้งว่า มีไฟเผาไหม้ ที่หลังศาลากลางจังหวัดสระแก้ว หมู่ที่ 9 บ้านหัวกุญแจ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว บริเวณถนนเส้นหลังศาลากลางจังหวัดสระแก้ว จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสระแก้ว ที่ีทำการปกครองจังหวัดสระแก้ว กอ.รมน.จังหวัดสระแก้ว อำเภอเมืองสระแก้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองสระแก้ว และรถดับเพลิงขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าเกษม เทศบาลท่าเกษม องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยโจด และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ร่วมช่วยกันดับเพลิงไหม้และควบคุมไฟอยู่สองฝั่งของถนน และเนื่องจากมีลมกรรโชกแรง ไฟไหม้บริเวณกว้าง ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังไม่สามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้


กระทั่ง ต่อมาในเวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้แล้ว ทั้งนี้ ได้เตรียมรถดับเพลิงขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าเกษม สแตนบายไว้ 1 คัน หากเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นอีกจะได้ดำเนินการดับไฟได้ทันที และขอขอบคุณผู้ที่ให้ข้อมูล และแจ้งเตือนการเผาไหม้ พร้อมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันร่วมดับเพลิงไหม้ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย


ขณะเดียวกัน นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้ประกาศแจ้งเตือนว่า ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2568 เป็นต้นไป จังหวัดสระแก้วจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เผาทุกแปลงทุกราย เริ่มในแปลงที่เผาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นต้นไป โดยเมื่อลงไปตรวจสอบแปลงที่เผาแล้ว หากเป็นกรณีที่เจ้าของแปลงเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากถูกคนอื่นลักลอบเผา ให้เจ้าของแปลงเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ แต่หากเป็นการกระทำผิดของเจ้าของแปลงหรือมีพยานหลักฐานเชื่อว่า เจ้าของแปลงหรือผู้เช่าเป็นผู้กระทำผิด ให้นายอำเภอในฐานะผู้อำนวยการอำเภอตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์/กล่าวโทษกับสถานีตำรวจในพื้นที่


ทั้งนี้ ผู้ใดจงใจก่อให้เกิดการเผาอ้อยดังกล่าวอาจมีความผิด ดังนี้ 1.มาตรา 220 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ได้วางหลักไว้ว่า ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้จะเป็นของตัวเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ## ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท ถ้าหากการกระทำผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในมาตรา 218 เช่น โรงเรือน โรงมหรสพ หรือสถานที่ประชุม เป็นต้น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี ,2. มาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงหรือผู้ที่ตัองประสบกับเหตุนั้น ให้ถือว่า เป็นเหตุรำคาญ (4) การกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต้องระวางโทษตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


——————————-