Explore world Explore Mind สัปดาห์นี้ผมอยากชวนคุณออกเดินทางกันต่อไปยังดินแดนที่ใครหลายคนอาจไม่เคยมีอยู่ในแผนการท่องเที่ยว เมืองที่ชื่ออาจฟังดูไม่คุ้น ไม่หรู ไม่เด่นแต่กลับชิลมากกว่าที่ใครจะคิดถึง เมือง “พริซเรน” (Prizren) ประเทศคอซอวอ (Kosovo)
ชื่อประเทศที่ถูกแปะป้ายว่า “อันตราย”
“ชื่อ” … คอซอวอ สำหรับคนไทยหรือแม้แต่คนยุโรปเอง มักถูกผูกไว้กับคำว่าสงคราม แตกแยก อันตราย ภาพของระเบิด ปืน และควันไฟจากยุคสงครามบอลข่านยังคงวนเวียนอยู่บนหน้าจอข่าวตะวันตก
แต่รู้ไหมครับว่า คนส่วนใหญ่ที่พูดถึงคอซอวอ ไม่เคยเหยียบแผ่นดินนี้ด้วยซ้ำ “เรารู้จักโลกมากแค่ไหน ผ่านสายตาของคนอื่น และรู้จักตัวเราน้อยแค่ไหน เพราะไม่เคยมองด้วยหัวใจของเราเอง”
คำถามนี้ผุดขึ้นในหัวผมทันที เมื่อก้าวเท้าลงบนดินแดนแห่งนี้
พริซเรน… เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของประเทศคอซอวอ ที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนแอลเบเนีย ฟังชื่อแล้วอาจรู้สึกห่างไกลจากความคุ้นชินทั้งทางภูมิศาสตร์และจินตนาการ ยิ่งเมื่อได้ยินว่ามันอยู่ในประเทศที่เคยผ่านสงครามกลางเมืองอย่างดุเดือด บางคนอาจจินตนาการถึงท้องถนนที่ยังคงมีรอยแผลจากกระสุน หรือดินแดนที่ปกคลุมด้วยความกลัวและความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่ผมได้พบ กลับเป็นภาพที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
การเดินทางจากเมืองหลวงพริตินา (Pristina) มายังพริซเรน ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในแง่ของประสบการณ์การโดยสาร รถยนต์เช่าพร้อมคนขับท้องถิ่นที่ผมนั่งวิ่งด้วยความเร็วที่ดูเหมือนคนกำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมากกว่ามุ่งหน้าไปไหนจริงจัง (ด้วยการจำกัดความเร็ว และถนนสองเลนบางช่วงที่รถแน่นมาก) ถนนระหว่างทางเต็มไปด้วยภูเขาสลับกับบ้านเรือน บางครั้งก็มีบ้านครึ่งหลัง และโรงงาน อาคารพาณิชย์ที่กำลังสร้างผ่านเข้ามาในสายตา ผมนั่งในรถคันนั้นเป็นชั่วโมงไม่ใช่เพราะไกลเกิน แต่เพราะการเดินทางมันช้าเกิน บอกตรง ๆ ว่าช่วงนึงในใจเริ่มตั้งคำถามว่า… นี่มันคุ้มเหรอ เรากำลังไปเห็นอะไรนะ หรือแอบลังเลในใจเล็ก ๆ ว่า เสียงคะยั้นคะยอจากคนท้องถิ่นว่า คุณต้องมาให้ได้ นี่จะกลายเป็นการหลอกขายฝันรึเปล่า เพราะยังไม่มีอะไรเข้าเค้าความงามแบบที่ว่า
แล้วก็ได้ยินเสียงในใจขึ้นมา…
ไปเถอะ แล้วจะรู้ว่าทำไมคนท้องถิ่นถึงอยากให้เราเห็นมัน
พริซเรนปรากฏตัวตรงหน้าเงียบ ๆ แบบไม่ต้องมีพิธีการอะไร รถค่อย ๆ ไต่ลงจากเนินเขาสู่เมืองที่ดูเหมือนถูกโอบกอดด้วยภูเขา Shar Mountains และเสียงแม่น้ำ Bistrica ที่ไหลรินผ่านใจกลางเมืองอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อมองจากหน้าต่างรถ เมืองนี้เหมือนภาพวาดที่มีชีวิต บ้านเรือนทรงออตโตมันเรียงรายสีอ่อน สลับโรงแรมสมัยใหม่ ลานกลางเมืองมีเด็กวิ่งไล่กัน มีนักท่องเที่ยวขวักไขว่ มีคนมากมายหยุดถ่ายรูปตรงสะพานหินโบราณ เสียงหัวเราะของผู้คนที่เดินเล่นริมแม่น้ำ เสียงพูดคุนสนทนาของคนในคาเฟริมทางทำให้ผมเริ่มรู้สึกได้ทันทีว่า นี่มันคือเมืองตากอากาศที่ซ่อนอยู่กลางประเทศสงครามชัด ๆ
ความเปรียบเทียบที่ผุดขึ้นในใจทันทีคือ “เกาะสมุยกลางสนามรบ” ไม่ใช่เพราะมีหาดทรายหรือเสียงคลื่น แต่เพราะความผ่อนคลายที่เกิดจาก “วิถีชีวิต” ของคนที่นั่น ความอุ่นละมุนที่ขัดแย้งกับสิ่งที่โลกภายนอกเคยบอกเราว่า คอซอวอ คืออะไร
ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ คูณไม่ได้เป็น “นักท่องเที่ยว”
ที่นี่ คุณกลายเป็น “แขกของชุมชน” ไปโดยไม่รู้ตัว
และเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับพริซเรนมากขึ้น ก็ยิ่งทึ่งกับรากประวัติศาสตร์ที่หนาแน่นเกินกว่าที่เมืองเล็ก ๆ จะควรมี
พริซเรนปรากฏครั้งแรกในเอกสารประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 11 และเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในศตวรรษที่ 14 เมื่อมันกลายเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรเซอร์เบีย โดยเฉพาะในยุคของกษัตริย์ Stefan Dušan ซึ่งได้ขยายอาณาจักรจนกลายเป็นหนึ่งในอำนาจสำคัญของคาบสมุทรบอลข่าน ช่วงเวลานั้นพริซเรนกลายเป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม และศาสนา มีการสร้างโบสถ์ วิหาร และสถาบันการศึกษามากมาย
ต่อมาในยุคของอาณาจักรออตโตมัน พริซเรนได้กลายเป็นเมืองการค้าใหญ่ มีทั้งชาวมุสลิม ชาวคริสต์ออร์โธดอกซ์ และชาวยิวอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีวิถีของตัวเอง มัสยิดแบบออตโตมันที่ยังคงยืนตระหง่านอยู่จนวันนี้ เป็นหลักฐานของความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่แม้เวลาจะเปลี่ยนผัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในศตวรรษที่ 19 พริซเรนกลายเป็นสถานที่ประชุมของ “สันนิบาตพริซเรน” (League of Prizren) ขบวนการทางการเมืองของชาวแอลเบเนียที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองจากการล่าอาณานิคมของออตโตมัน พริซเรนจึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองของความทรงจำเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองแห่งการเริ่มต้น จุดเริ่มต้นของการปลุกสำนึกร่วมของประชาชนที่ต้องการกำหนดอนาคตของตัวเอง
นี่ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ในหนังสือเรียน แต่มันคือหัวใจของเมืองที่ยังเต้นอยู่ทุกวัน ผู้คนในพริซเรนภูมิใจกับความเป็นมา มรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ยังคงอยู่ในมัสยิด โบสถ์ โรงเรียน และถนนทุกสายที่คุณเหยียบย่าง ที่นี่ไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจหลัก ไม่ใช่เมืองหลวง ไม่ใช่ศูนย์กลางธุรกิจ พวกเขาไม่ได้หลบซ่อนอดีต แต่ยืนอยู่บนมันอย่างสง่างาม และต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เคยได้ยินเรื่องราวนี้
ที่สำคัญคือ สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุด คือความจริงที่ว่า…ทุกสิ่งที่ได้สัมผัสนี้ ไม่เคยอยู่ในข่าว ไม่เคยอยู่ในสื่อกระแสหลัก เรารับรู้คอซอวอจากภาพของการปะทะ จากสารคดีสงคราม จากตัวเลขผู้เสียชีวิต
หลังจากเก็บของเข้าที่พัก แม้จะเหนื่อยแต่ด้วยความเกรงใจคนขับรถที่แม้จะขับรถมาทั้งวันก็ยังขันอาสาเสนอตัวเป็นไกด์พาเดินชมรอบ ๆ เมือง จึงต้องสลัดความขี้เกียจออกมาตามคะยั้นคะยอ เริ่มต้นจากหน้าโรงแรม เดินไล่ยาวไปสู่ใจกลางเมือง ที่พอพ้นแยกที่ตัดเข้าสู่พื้นที่ทึ่อาจเรียกว่า “พื้นที่แห่งชีวิต” ของพริซเรนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ผมพบคือที่ที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว พ่อค้าแม่ขายที่ขยันเรียกลูกค้าไม่หยุด นอกจากเสียงผู้คนแล้ว ยังมีเสียงเครื่องดนตรีที่ลอยมา จากร้านอาหารข้างทางหรือแม้กระทั่ง คนเปิดหมวก และวงการแสดงที่ออกมาโชว์ให้นักท่องเที่ยวได้ชม
พริซเรนในเวลานี้ราวกับจะส่งเสียงบอกนักท่องเที่ยวว่า จงลืมทุกอย่างไปซะ อดีต อนาคต ความกลัว ความกังวล ความสงสัย … แล้วจงมีความสุขกับ ณ ขณะตรงหน้า ไม่ต้องสนใจอะไรอีกต่อไป ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะมอง ‘เรา’ อย่างไร แค่อยู่กับปัจจุบัน
หลังจากเดินตามไกด์วนรอบเมืองจนครบ แม้เมืองจะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน ผมจึงขอตัวแยกออกมาเพื่อไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเขามากเกินไป อันที่จริง ช่วงบ่ายนี้ผมยังอิ่มอยู่จากของที่กินมาระหว่างนั่งรถ แต่ด้วยบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอยาก “เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้” อย่างแท้จริง จึงตัดสินใจเดินหาร้านอาหารที่ถูกใจ ตั้งใจไว้ว่าจะเข้าไปนั่งดูพรีเมียร์ลีกนัดที่ลิเวอร์พูลลงแข่ง
ผมลองเข้าออกอยู่หลายร้าน จนกระทั่งมาเจอร้านหนึ่งที่ดูมีแวว เป็นร้านใหญ่ บรรยากาศกว้างขวาง ดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในร้านยอดนิยมของย่านนี้ หลังจากสอบถามกับพนักงานจนแน่ใจว่าที่นี่สามารถเปิดถ่ายทอดสดฟุตบอลให้ดูได้ ผมจึงขอเลือกโต๊ะที่มองเห็นจอทีวีได้ชัด ซึ่งในตอนนั้น โต๊ะที่อยู่ในตำแหน่งดีล้วนเต็มหมดแล้ว
น้องพนักงานคนหนึ่งอาสาไปคุยกับผู้จัดการร้านให้ ช่วยหาทางให้ผมได้โต๊ะหน้าจอที่ยังว่างอยู่ แม้จะเป็นโต๊ะขนาดใหญ่สำหรับหลายคน แต่เขาก็เต็มใจเอื้อเฟื้อให้ผมนั่งคนเดียวอย่างไม่ลังเล น้ำใจเล็ก ๆ แบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจทันที
ระหว่างดูเกม บรรยากาศในร้านก็ครึกครื้น ลูกค้าเข้าออกตลอด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวใหญ่ที่ดูจะมากันพร้อมหน้าพร้อมตา โชคดีที่ร้านมีสองชั้น ทำให้ยังพอมีที่นั่งเหลือ และผมก็สามารถนั่งที่โต๊ะหน้าโทรทัศน์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ สังเกตได้ว่าพนักงานทุกคนทำงานแข็งขันแทบไม่หยุดพัก แม้อาจเหนื่อยล้า แต่พวกเขาก็คงรู้สึกอิ่มใจที่ร้านไม่เคยเงียบเหงา
เมื่อเกมจบ ผมกล่าวขอบคุณน้องพนักงานอย่างจริงใจที่ดูแลลูกค้าทุกคนด้วยความใส่ใจ ระหว่างนั่งชม ผมเผลอสั่งอาหารมากกว่าที่ตั้งใจไว้เพราะอยากช่วยอุดหนุนร้านดี ๆ แบบนี้ แต่ผลข้างเคียงก็มีเหมือนกัน นั่นคือน้ำหนักขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ^^
แม้กระทั่งตอนเดินกลับที่พักในยามดึกใกล้เที่ยงคืน ถนนหนทางยังดูอบอุ่นปลอดภัยอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกไม่ใช่เพราะกล้องวงจรปิดหรือตำรวจที่เดินตรวจตรา แต่เพราะเมืองนี้ยังคงมี “พลังของไมตรี” ของเจ้าของบ้านแผ่ออกมาจากทุกร้านค้า ที่ทำให้คุณรู้สึกเป็นมิตรกับผู้คนรอบตัวโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนถึงเวลานัดกับคนขับรถเพื่อเดินทางกลับ ผมเดินย้อนกลับเข้าเมืองอีกครั้ง เพราะเมื่อวานได้สัญญากับเจ้าของร้านของที่ระลึกไว้ว่าจะกลับมาอุดหนุน ผมได้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ จากร้านนี้ แม้จะไม่มากมายอะไรนัก แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ทำตามที่สัญญาไว้ และสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เจ้าของร้านยังจำผมได้ และแถมของที่ระลึกเล็ก ๆ ให้อีก
มันอาจจะเป็นแค่ของชิ้นเล็ก แต่สำหรับผม มันคือความทรงจำที่มีน้ำใจแนบมาด้วยและผมจะไม่มีวันลืม
ขอสารภาพตรง ๆ ว่า ตอนผมยังไม่เคยมาเยือน ผมก็เคยกลัวคอซอวอเช่นกัน ข่าวสาร ภาพถ่าย คลิปสารคดี ล้วนเพ้นต์ภาพไว้อย่างรุนแรง แต่พอผมได้มาที่นี่จริง ๆ ผมจึงได้เรียนรู้ว่าความจริงบางอย่าง เราจะไม่มีวันเข้าใจ ถ้าไม่ได้เดินผ่านมันด้วยตัวเอง
พริซเรนไม่ได้พยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยคำพูด แต่ใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย รอยยิ้ม และการไม่หวาดระแวงใคร เป็นคำตอบแทน
มันคือสิ่งที่เราไม่เห็นในสารคดี ไม่ได้ยินจากข่าว�
แต่มันสัมผัสได้ด้วยใจ
ผมออกจากพริซเรนด้วยหัวใจที่เบาสบายแม้ไม่ได้ของฝากมากมาย แต่ผมเอาความเข้าใจใหม่กลับมาเต็มเปี่ยม ความเข้าใจที่บอกว่า สิ่งที่เราคิดว่าเห็น กับสิ่งที่เห็นจริงมันห่างกันเท่า “อคติ”
โลกนี้มีเมืองอีกมากที่ถูกเข้าใจผิด
เหมือนที่คนเข้าใจผิด “ตัวเราเอง”�
ลองเปิดใจเดินเข้าไปดู ลองเข้าไปฟังอย่างตั้งใจ แล้วคุณจะเห็นไม่ใช่ด้วยตา แต่ด้วยใจ อย่าปล่อยให้สื่อเป็นคนพาเราไปเที่ยวโดยไม่ต้องออกจากบ้าน เพราะบางทีบ้านที่เราอยู่ อาจเล็กกว่าหัวใจของคนในเมืองที่เราไม่เคยมองเห็น
ที่มา : ดร. วีรณัฐ โรจนประภา