ถ้าโลกเคยเงียบเกินไปเมื่อเสียงของความเกลียดชังดังกึกก้อง รวันดาคือบทเรียนที่ตะโกนใส่หน้าพวกเราทุกคน
Explore World, Explore Mind ออกเดินทางเพื่อกลับมาพบใจ หลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสออกเดินทางรอบโลก ไม่ใช่เพื่อเช็กอินตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง แต่เพื่อค้นหาบางสิ่งที่ลึกกว่านั้น ความหมายของชีวิตและสัจธรรมของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ในทุกประเทศที่ไป ผมจะถามตัวเองเสมอว่า “เราเรียนรู้อะไรจากที่นี่ได้บ้าง เพื่อกลับมาดูแลหัวใจของเราเองให้ดีขึ้น”
ซีรีส์บทความ “Explore World, Explore Mind” จึงเกิดขึ้น เพื่อถอดบทเรียนจากประเทศต่าง ๆ ที่เคยเจ็บ เคยล้ม และลุกขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ และประเทศที่ผมเลือกเปิดซีรีส์นี้คือ… \”รวันดา\”
หลายคนอาจนึกถึงรวันดาเป็นเพียงประเทศยากจนในแอฟริกา หรือจำได้แค่ภาพข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สุดโหดเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน แต่วันนี้ รวันดาเปลี่ยนไปมากกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ การเดินทางไปยังรวันดาทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด สายการบิน RwandAir มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปยังคิกาลี (Kigali) โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองใหญ่ ๆ อย่างโดฮาหรือไนโรบี ส่วนเรื่องวีซ่านั้น คนไทยสามารถยื่นขอวีซ่าออนไลน์ (e-visa) ได้อย่างสะดวก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน
และสิ่งที่ผมพบที่นั่นคือ… บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม
ใครจะเชื่อว่าในช่วงเวลาเพียงสามทศวรรษ ประเทศเล็ก ๆ ในแอฟริกากลางอย่างรวันดา (Rwanda) ที่เคยเป็นสนามสังหารอันโหดร้ายจาก เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) ซึ่งเพื่อนบ้านฆ่าเพื่อนบ้าน มีคนล้มตายถึง 800,000–1,000,000 คนภายใน 100 วัน จะสามารถลุกขึ้นมาเป็นประเทศที่สะอาด ปลอดภัย น่าท่องเที่ยว และเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับแนวหน้า จนได้ฉายาว่า \”สวิตเซอร์แลนด์แห่งแอฟริกา\” และในด้านระบบบริหาร ได้รับคำชมว่าไม่ต่างจาก \”สิงคโปร์แห่งแอฟริกา\”
บทความนี้จะพาไปสำรวจ เบื้องหลังของรวันดา ทั้งในมุมของประวัติศาสตร์ ความเจ็บปวด ความเปลี่ยนแปลง และสิ่งที่โลกต้องเรียนรู้จากประเทศนี้ให้มากขึ้น
บาดแผลจากอดีต เมื่อเพื่อนบ้านกลายเป็นเพชฌฆาต
บางครั้ง ศัตรูร้ายที่สุด ไม่ได้มาจากชายแดน
แต่คือคนที่เคยยิ้มให้เราทุกเช้า
บทเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม 100 วันในนรกที่มีอยู่จริง เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 1994 แดดยามเช้าในรวันดายังอบอุ่นเหมือนเคย เสียงเด็กเล่นลูกข่างริมถนน เสียงไก่ขัน เสียงหัวเราะจากตลาดเล็ก ๆ ในหมู่บ้านฮูตูและทุตซี ยังคลอเคล้าอยู่กับกลิ่นข้าวโพดต้มจากหม้อดิน ไม่มีใครรู้ว่าวันนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูกาลล่าเลือดที่โหดเหี้ยมที่สุดในศตวรรษที่ 20 เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเครื่องบินของประธานาธิบดี Habyarimana ถูกยิงตก ข่าวลือกระจายรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่งว่า “พวกทุตซีเป็นคนทำ” จากข่าวลือ กลายเป็นประกาศ จากประกาศ กลายเป็นคำสั่ง จากคำสั่ง กลายเป็นเสียงตะโกน…
“ฆ่ามันให้หมด พวกแมลงสาบนั่นต้องไม่เหลือ !”
ไม่ใช่เสียงระเบิด หรือเสียงปืน ที่จุดชนวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา แต่เป็นเสียงพูดจากสถานีวิทยุ RTLM (Radio Télévision Libre des Mille Collines) คลื่นวิทยุที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดเพลงฮิตจากยุโรป กลับกลายเป็นคลื่นแห่งความตาย
พวกเขาล้างสมองผู้ฟังทั้งประเทศด้วย Hate Speech ซ้ำ ๆ เปรียบทุตซีว่าเป็นแมลงสาบ สิ่งมีชีวิตที่ต้องถูกบดขยี้ เรียกร้องให้ กำจัดศัตรูชาติ ประกาศชื่อ ที่อยู่ของเหยื่อ พร้อมบอกจุดให้ไปฆ่า คนขับแท็กซี่ฟังวิทยุระหว่างรอลูกค้า แม่บ้านเปิดคลื่น RTLM ระหว่างรีดผ้า เด็กวัยรุ่นฟังและซึมซับ ก่อนเปลี่ยนจากถือหนังสือ… เป็นถือพร้า
เพื่อนบ้านฆ่าเพื่อนบ้าน
บทที่มืดที่สุดในหัวใจมนุษย์
ไม่มีสงครามใดน่าสะพรึงเท่ากับสงครามที่ ไม่มีแนวรบ ไม่มีเครื่องแบบ ไม่มีศัตรูที่ชัดเจน ในรวันดา เพื่อนบ้านฆ่าเพื่อนบ้าน ชายที่เคยช่วยกันซ่อมหลังคาเมื่อวาน กลับลุกขึ้นมาตัดหัวลูกของเพื่อนด้วยพร้าในวันนี้แม่ค้าขายผักใช้มีดในร้าน สังหารลูกค้าประจำของตัวเอง นักเรียนคนหนึ่งซ่อนเพื่อนใต้เตียง แต่ถูกบีบให้เปิดเผย แล้วต้องยืนดูเพื่อนโดนสังหารต่อหน้าต่อตา
ที่โบสถ์แหล่งหลบภัยศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นกับดักมรณะ นักบวชบางคนถึงขั้นเปิดประตูโบสถ์ให้กลุ่มติดอาวุธเข้ามาฆ่าคนที่กำลังภาวนา ไม่มีที่ปลอดภัย ไม่มีที่ซ่อน มีเพียงความตายที่เดินเข้ามาหาอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มของคนรู้จัก
100 วัน 1,000,000 ชีวิต
นรกบนดินดำเนินไปอย่างเป็นระบบและรวดเร็ว ในเวลาเพียง 100 วัน มีผู้เสียชีวิตเกือบหนึ่งล้านคน เฉลี่ยแล้ว ทุกนาทีมีคนถูกฆ่า 7 คน เด็กถูกสังหารต่อหน้าแม่ แม่ถูกข่มขืนก่อนถูกทิ้งไว้ให้เลือดไหลจนตาย ผู้รอดชีวิตเล่าว่า แม้แต่เสียงร้องของทารกก็ทำให้ฆาตกรตามเจอ นี่ไม่ใช่แค่การตายของร่างกาย แต่มันคือการตายของ “ศีลธรรมมนุษย์” ทั้งชาติ
เมื่อสังคมล่มสลาย ไม่ใช่เพราะสงคราม
แต่เพราะ \”ความเป็นมนุษย์\” หายไป
หลายประเทศอาจล่มสลายเพราะภัยธรรมชาติ สงคราม หรือระเบิดนิวเคลียร์ แต่ในรวันดา ไม่มีอาวุธร้ายแรง ไม่มีสงครามข้ามประเทศ สิ่งที่ล่มสลายคือสิ่งที่เปราะบางที่สุดในตัวมนุษย์ “ความไว้ใจ” และ “ความเมตตา” เพราะเมื่อเราหยุดมองเพื่อนมนุษย์ว่าเป็นคน เมื่อเราเริ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายคือแมลงสาบ เราก็พร้อมจะลงมือ แม้มือจะเปื้อนเลือดของคนที่เคยหัวเราะร่วมกันเมื่อวาน ไม่มีสงครามใดอันตรายไปกว่าสงครามที่เริ่มจากใจคน
ในช่วงเดือนแรกของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มจากหลักพันเป็นหลักแสน และเลือดของผู้บริสุทธิ์ไหลนองกลางถนน รัฐบาลเฉพาะกาลของรวันดาและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งได้ส่งคำขอไปยังองค์การสหประชาชาติ (UN) อย่างสิ้นหวัง ขอให้มีการแทรกแซงโดยทันทีเพื่อหยุดยั้งการฆ่าอย่างป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นในระดับ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือความลังเลและความเงียบ
แม้ว่า UN จะมีหน่วยงานชื่อ UNAMIR (United Nations Assistance Mission for Rwanda) อยู่ในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุการณ์ แต่กองกำลังเหล่านี้มีเพียงไม่กี่พันคน ไม่มีอาวุธหนัก ไม่มีอำนาจสั่งการให้ใช้อาวุธเพื่อแทรกแซง และที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รับคำสั่งห้ามใช้กำลังแม้จะเห็นการฆ่าอยู่ตรงหน้า
เสียงร้องขอจากผู้หญิงที่ถูกข่มขืน เด็กที่เห็นพ่อแม่โดนฆ่าต่อหน้า และนักบวชที่ปกป้องผู้ลี้ภัยถูกฆ่าหมู่ในโบสถ์ กลายเป็นเสียงสะท้อนที่ไม่มีใครฟัง โลกทั้งใบเหมือนจะละสายตาไปทางอื่น บางประเทศตะวันตกถึงขั้นถอนกองกำลังของตนกลับประเทศ เพราะกลัวความไม่มั่นคง สหรัฐอเมริกาเลี่ยงที่จะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “Genocide” โดยตรง เพราะถ้าเรียกเช่นนั้น ต้องมีพันธะตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่บังคับให้ต้องเข้าไปช่วย ในห้วงเวลาที่มนุษย์ฆ่ากันอย่างเป็นระบบ โลกก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็น “เรื่องของประเทศเล็ก ๆ ในแอฟริกาที่ห่างไกล”
Hotel des Mille Collines
ป้อมปราการสุดท้ายกลางนรก
ขณะเมืองทั้งเมืองกลายเป็นนรกบนดิน
โรงแรมหรูแห่งหนึ่งกลับกลายเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของมนุษยธรรม
กลางเมืองคิกาลี เมืองหลวงของรวันดา มีโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่งชื่อว่า Hotel des Mille Collines ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า โรงแรมแห่งพันเนินเขา เพราะตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่สวยงามและอุดมด้วยธรรมชาติรอบด้าน ก่อนปี 1994 ที่นี่คือจุดหมายของนักการทูต ชาวต่างชาติ และชนชั้นกลางชาวรวันดาที่มาดื่มด่ำไวน์ในห้องอาหารหรู ฟังเพลงเปียโนในเลานจ์ และใช้สระว่ายน้ำริมระเบียงพักผ่อนจากโลกภายนอกที่เคยสงบ
แต่แล้ว…โลกภายนอกก็กลายเป็นนรก
เมื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน 1994 ภายในเวลาไม่กี่วัน ถนนสายต่าง ๆ ถูกย้อมด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์ เสียงกรีดร้อง กลิ่นศพ และกองกำลังติดอาวุธฮูตูที่ออกล่าเหยื่อทุกย่านชุมชน ทำให้ผู้คนแห่กันหาที่หลบภัยแบบไร้ทิศทาง บางคนถูกฆ่าทิ้งกลางทาง บางคนถูกเผาทั้งเป็นในโบสถ์ บางคนหนีเข้าป่าไปตายจากโรคและความหิว แต่มีสถานที่หนึ่งซึ่งเปิดประตู และไม่ปฏิเสธใครที่มาเคาะ
พอล รูเซซาบาจินา (Paul Rusesabagina) ชายผู้เป็นผู้จัดการของโรงแรม Mille Collines ในขณะนั้น ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักบุญ เขาเป็นเพียงคนธรรมดา พนักงานโรงแรมผู้สุภาพ ผู้เชื่อในความเป็นมนุษย์ และรู้ว่าถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง พวกเขาจะตายกันหมด
พอลเริ่มต้นจากการซ่อนครอบครัวและเพื่อนบ้านไว้ในห้องพักโรงแรม แต่เมื่อเห็นคนแห่กันมาขอเข้าหลบภัยเพราะไม่มีที่อื่นให้ไป เขาไม่ปฏิเสธใครเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เด็ก คนชรา คนเจ็บ หรือแม้แต่คนที่เขาไม่รู้จักชื่อ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน โรงแรม Mille Collines ซึ่งมีห้องพักเพียง 112 ห้อง กลับต้องรองรับผู้ลี้ภัย มากกว่า 1,200 คน
โรงแรมที่ครั้งหนึ่งเคยมีบริการอาหารฝรั่งเศสระดับห้าดาว บัดนี้ไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดให้ดื่ม น้ำประปาถูกตัด อาหารหมด ไฟฟ้าถูกปิดโดยกลุ่มติดอาวุธที่ควบคุมเมือง พอลต้องเสี่ยงตายออกไปขอความช่วยเหลือทุกวัน ใช้ไหวพริบ ใช้คำพูด ใช้การเจรจา และแม้แต่การติดสินบน เพื่อให้รถน้ำเข้ามาส่ง หรือป้องกันไม่ให้ทหารฮูตูบุกเข้ามาฆ่าคนในโรงแรม
พอลโทรหาเจ้าหน้าที่ UN เจ้าหน้าที่ต่างชาติ ผู้บริหารโรงแรมในเบลเยียม เขาพยายามให้โลกได้ยินเสียงของพวกเขา แม้จะรู้ว่าโลกไม่ได้ตั้งใจฟัง
“ฉันไม่มีอาวุธ ไม่มีกองกำลัง ไม่มีอำนาจทางการเมือง ฉันมีเพียงความเชื่อว่า มนุษย์ควรปกป้องกันและกัน” — พอล รูเซซาบาจินา กล่าวภายหลังเหตุการณ์
ในที่สุด หลังเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ภายใต้การคุกคามนับไม่ถ้วน โรงแรม Mille Collines กลายเป็นป้อมสุดท้ายที่ผู้ลี้ภัยในนั้นรอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้จริง ทั้ง 1,200 ชีวิต รอดเพราะผู้จัดการโรงแรมเพียงคนเดียวที่ กล้าหาญพอจะทำในสิ่งที่ควรทำ แม้จะไม่มีใครสั่งให้เขาทำก็ตาม
เมื่อโลกหันหน้าหนี โรงแรมนี้กลับเปิดประตู เมื่อทหารปฏิเสธการช่วยเหลือ ชายคนหนึ่งกลับยื่นมือ และเมื่อความหวังทั้งประเทศดับสิ้น โรงแรมแห่งนี้กลายเป็น ‘ดวงเทียนดวงสุดท้ายที่ยังไม่ดับ’
เรื่องราวของโรงแรม Mille Collines และพอล รูเซซาบาจินา ถูกบอกเล่าผ่านภาพยนตร์ชื่อดัง Hotel Rwanda (2004) ภาพยนตร์ที่ไม่ได้เพียงแค่เล่าชะตากรรมของคนในโรงแรม แต่สะท้อนคำถามใหญ่ระดับโลกว่า เราจะนิ่งดูดายได้นานแค่ไหน เมื่อลมหายใจของคนทั้งประเทศกำลังถูกพร่าเลือนเพราะความเกลียดชัง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้โลกตะวันตกหันมามองรวันดาอีกครั้ง พร้อมกับรู้สึกละอายที่ปล่อยให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นโดยที่แทบไม่มีใครยื่นมือช่วย แต่สำหรับชาวรวันดา โรงแรมแห่งนี้ไม่ใช่แค่ฉากในหนัง มันคือ สถานที่จริง ที่ชีวิตจริง ๆ ได้รับการปกป้อง
ไม่มีใครมา… เราต้องลุกขึ้นเอง
ในขณะที่ความหวังต่อการช่วยเหลือจากนานาชาติเหือดแห้งลงเรื่อย ๆ เสียงปืนของกลุ่มติดอาวุธฮูตูยังดังต่อเนื่อง แต่ที่ชายแดนด้านเหนือของประเทศ แสงแห่งการต่อต้านเริ่มลุกโชน กองกำลัง RPF (Rwandan Patriotic Front) ที่ก่อตั้งโดยอดีตผู้ลี้ภัยชาวทุตซีในยูกันดา ซึ่งเคยหลบหนีความรุนแรงในอดีต ได้ฝึกฝน เตรียมกำลัง และซุ่มรอโอกาสในการทวงคืนประเทศบ้านเกิดของพวกเขา พอล คากาเม (Paul Kagame) ผู้นำ RPF ในเวลานั้น ไม่ใช่แค่ทหาร แต่คือนักวางยุทธศาสตร์ผู้เยือกเย็นและเด็ดขาด เขาตัดสินใจเปิดฉากรุก ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบโต้ แต่เพื่อหยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้ได้
กลางเดือนเมษายน 1994 กองกำลัง RPF เริ่มบุกเข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือของรวันดา ด้วยยุทธวิธีที่เน้น ความรวดเร็ว-แม่นยำ-ไม่ทำร้ายประชาชน แตกต่างจากฝั่งรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงป่าเถื่อน กองกำลังของคากาเมไม่ได้ใช้เพียงกำลังทหาร แต่ยังใช้ เครือข่ายข่าวกรอง และเสียงแห่งความชอบธรรมที่ประชาชนในพื้นที่ต้อนรับ เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ตลอด 3 เดือน กองกำลัง RPF เคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวง คิกาลี (Kigali) อย่างมั่นคง แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่แรงสนับสนุนจากประชาชนที่เหลือรอด กลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ และในเดือนกรกฎาคม 1994 เสียงปืนของฝ่ายฆาตกรเงียบลง กองกำลัง RPF เข้ายึดเมืองหลวง และเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ้นสุดลงในที่สุด
เมื่อควันปืนจางลง เหลือเพียงซากศพกองมหึมาและผู้รอดชีวิตที่ไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างไร แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ ผู้ที่หยุดความตายไม่ใช่ UN ไม่ใช่กองทัพตะวันตก ไม่ใช่โลกที่เจริญแล้ว แต่คือประชาชนของรวันดาเอง โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่ครั้งหนึ่งเคยไร้แผ่นดิน เพราะไม่มีใครช่วย พวกเขาจึงต้องช่วยตัวเอง จากนั้นเริ่มบทใหม่ของการสร้างชาติโดยไม่มีคู่มือ ไม่มีความมั่นใจว่าจะรอด มีเพียงความเจ็บปวดจากอดีตเป็นบทเรียน และความกล้าหาญที่จะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง
จากจุดตกต่ำที่สุด สู่การฟื้นตัวที่โลกต้องหยุดมอง
หลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จบลง รวันดาเหมือนถูกตัดออกจากโลก เศรษฐกิจพังพินาศ ธนาคารไม่มีเงินตราให้หมุนเวียน พื้นที่เกษตรกลายเป็นทุ่งศพ อุตสาหกรรมหยุดนิ่ง ตลาดว่างเปล่า ท่าเรือ ปั๊มน้ำมัน โรงเรียน โรงพยาบาล เหมือนเมืองร้าง ประชากรกว่าหนึ่งในสามไม่มีบ้านอยู่ หลายหมู่บ้านมีแต่เด็กกำพร้ากับผู้หญิงที่ถูกข่มขืนและติดเชื้อ HIV เมืองหลวงอย่างคิกาลี (Kigali) มีเสียงเดียวคือ เสียงร้องไห้ของผู้ที่อยู่รอด และเสียงเงียบของคนตายที่ไม่มีใครฝัง ภายในไม่กี่เดือน โรคเอดส์ระบาดราวกับไฟป่า ไม่ใช่เพียงเพราะขาดแคลนยา แต่เพราะความสิ้นหวังทำให้คนจำนวนมากไม่รู้จะดูแลชีวิตตัวเองไปเพื่ออะไร
หลายคนพกความเจ็บปวดจากร่างกายมาจนถึงจิตใจ บางคนเคยเป็นแพทย์ กลับกลายเป็นคนไร้บ้าน บางคนเคยเป็นครู กลับต้องไปขออาหารตามทางเดินในวัด ในห้วงพังทลายนี้เอง ชายคนหนึ่งชื่อว่า พอล คากาเม (Paul Kagame) ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ด้วยสายตานิ่งเฉียบเยือกเย็นและความมุ่งมั่นที่แผดเผา เขาไม่ได้ถามเพียงว่า เราจะชดใช้ยังไง แต่ถามลึกลงไปอีกว่า
เราจะสร้างรวันดาใหม่ยังไง โดยไม่ให้ฝันร้ายเดิมเกิดซ้ำ
คากาเมไม่เลือกเส้นทางแห่งการแก้แค้น แม้เขาเองก็เป็นผู้นำของกองกำลัง RPF ที่เคยเข้าต่อสู้กับระบอบเดิม เขาเลือกยุทธศาสตร์แห่งการสร้างใหม่ ซึ่งไม่ใช่การปะซ่อมเศษซากจากอดีต แต่เป็นการเขียนอนาคตขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ ไม่ใช่ Rebuild แต่คือ Rebirth
สิ่งแรกที่รัฐบาลใหม่ทำ ไม่ใช่สร้างตึกสูงหรือถนนสายใหม่ แต่คือการ รักษาหัวใจของชาติ การให้อภัย การคืนดี และการยอมรับความจริงกลายเป็นนโยบายแห่งชาติ พวกเขาจัดการกับผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นับแสนคนโดยไม่ให้เรือนจำล้น แต่ใช้ศาลชุมชนแบบ Gacaca เพื่อให้เหยื่อและผู้กระทำมาพบกัน ให้ความจริงถูกพูด และน้ำตาถูกปล่อย เพื่อให้การให้อภัย ไม่ใช่แค่คำพูดในพิธี แต่คือการเลือกอยู่ร่วมกันโดยไม่ลืมอดีต ในขณะเดียวกัน รัฐบาลลงมือวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด
กลยุทธ์ของคากาเมไม่ใช่การกวาดฝุ่นไว้ใต้พรม แต่คือการ \”เปิดแผลให้โลกเห็น\” แล้วรักษาอย่างลึกที่สุด เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งประเทศ เริ่มจากการสร้างจิตสำนึกใหม่ที่ไม่แบ่งแยกตามชาติพันธุ์อีกต่อไป คนรวันดาทุกคนจะไม่ใช่ฮูตู ไม่ใช่ทุตซี ไม่ใช่ทวา แต่คือ ชาวรวันดาเท่ากัน
– เศรษฐกิจถูกปรับโครงสร้าง ให้การเกษตรกลายเป็นแกนกลางของประเทศ
– การศึกษาได้รับงบสูงสุดในประวัติศาสตร์
– เด็กกำพร้าถูกส่งเข้าสถานเลี้ยงดูแบบครอบครัวไม่ใช่สถานสงเคราะห์
– ผู้หญิงที่เคยถูกมองว่าเป็นเหยื่อสงครามถูกดันเข้าสภา กลายเป็นผู้ออกกฎหมาย
– ระบบสุขภาพถูกสร้างขึ้นจากการประสานพลังของ NGOs และรัฐ เพื่อปิดทางตาย เปิดทางรอด
แม้โลกจะมองว่ารวันดาควรตายไปแล้ว แต่คากาเมและประชาชนไม่ยอมให้ประเทศจบแค่ในข่าวสารโศกนาฏกรรม พวกเขาเปลี่ยนสนามฆ่า ให้กลายเป็นสนามเยียวยา เปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญที่สุด เปลี่ยนคนที่เคยรังเกียจกันให้กลายเป็นผู้ร่วมสร้างบ้านเดียวกันอีกครั้ง ในขณะที่บางประเทศยังติดหล่มอยู่กับอดีต รวันดาเลือกจะ เรียนรู้จากอดีต เพื่อสร้างอนาคตที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีก
กลยุทธ์ของคากาเมไม่ใช่การกวาดฝุ่นไว้ใต้พรม แต่คือการ \”เปิดแผลให้โลกเห็น\” แล้วรักษาอย่างลึกที่สุด เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งประเทศ เริ่มจากการสร้างจิตสำนึกใหม่ที่ไม่แบ่งแยกตามชาติพันธุ์ คนรวันดาทุกคนจะไม่ใช่ฮูตู ไม่ใช่ทุตซี ไม่ใช่ทวา แต่คือ ชาวรวันดาเท่ากัน บัตรประชาชนของทุกคนบนแผ่นดินนี้ จะไม่มีการระบุชาติพันธุ์ใด ๆ อีกต่อไป
ติดตามตอนต่อไป EP.2 บทแห่งการฟื้นฟู
รวันดาลุกขึ้นจากเถ้าถ่านอย่างไร ?
จากชาติที่โลกเคยมองข้าม สู่ประเทศที่ทั้งแอฟริกายกให้เป็นต้นแบบแห่งการเกิดใหม่
อะไรคือเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง ?
อะไรคือหัวใจของการพลิกประเทศในเวลาไม่ถึง 30 ปี ?
ที่มา : Kid Mai by Dr.Mai